Wanted [chapter 12]
เป็นร่างกาย..ที่หยุดเคลื่อนไหว หรือเป็นเพราะ...หัวใจ ที่ถูกรัดตรึงไว้จนแน่นิ่ง
เทวดาตัวน้อยๆที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ยังคงนอนสะท้านไหวอยู่บนเตียงเดียวกันกับซาตานตัวร้ายที่ไล้สายตามองร่างที่เสียเปรียบนี้จนแทบมองลอดผ่านทะลุถึงเนื้อใน กายตรงหน้าที่งดงามราวกับพระจันทร์ทรงกลด แผ่กระจายรังสีแสงสีรุ้งเป็นวงกว้างในค่ำคืนที่ไร้แสงสว่างและมืดมิด สถานการณ์รอบข้างรวมถึงเขา ที่เอาแต่คอยทำร้ายกายนี้ก็เปรียบเสมือนท้องฟ้าที่มืดมัว
ดำสนิท เกาะกลุ่มเป็นหมู่เมฆคอยก่อกวนและจ้องจะบดบัง นั่นก็ยังไม่สามารถทำลายความงดงามของพระจันทร์ทรงกลดอย่างเจ้าของร่างที่แสนบอบช้ำนี้ได้เลย
แต่ใครคนแรกจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในยามรัตติกาลและสัมผัสถึงความงดงามที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในนี้ได้ก่อน....คำตอบก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า
ผู้ที่โชคดีคนนั้น จะเห็นคุณค่าของมันในตอนไหน...ก็เท่านั้น
“ตื่นขึ้นมาไม่ดูเวล่ำเวลานะ
คราวนี้ถ้าจะเปิดปากร้องห้ามล่ะก็ คงรู้นะ ว่าฉันจะฟังนายหรือเปล่า” เพียงแค่เห็นริมฝีปากจิ้มลิ้มจะขยับพูด
เขาก็เห็นไปถึงลิ้นไก่แล้ว ว่าคนร่างใต้นี้คิดจะพูดอะไร
นิ้วเรียวแตะเบาๆลงบนริมฝีปากบางเป็นเชิงปรามว่าห้ามเอ่ยอะไรออกมา เพราะเขาไม่ฟัง
“ต.แต่ อ๊ะ” ยังไม่ทันที่จะเอื้อนเอ่ยจนจบประโยค
ก็ถูกริมฝีปากร้ายครอบครองดูดกลืนคำพูดที่เหลือให้หายพลัน แจจุงกดจูบริมฝีปากนั้นเพียงแผ่วเบา
พร้อมถอนออกมา แต่ใบหน้ายังคงอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ผลัดเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
“ปากมีไว้จูบกับฉัน อย่ามีไว้เถียง”
ใบหน้าหวานร้อนผ่าวลามไปถึงใบหู คำพูดเมื่อครู่ทำเอาหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาเต้นอยู่นอกอก
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากจะยิ้มออกมาแต่ก็ไม่กล้า
แต่แล้วก็ต้องลบล้างความรู้สึกนั้นให้เลือนหาย เพราะเขารู้ในการกระทำของคนตรงหน้า ว่าคงไม่จำกัดไว้ที่คำว่า
จูบ
ใบหน้าหล่อก้มลงสูดกลิ่นหอมยังซอกคอขาวเนียน จูบซับไล่ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงหลังใบหูนิ่ม ใบหน้าหวานหันหนี ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวเมื่อมีหยาดน้ำสีใสๆครอรื้นอยู่ที่สองขอบตาเรียว น้ำตาที่พานจะไหลออกมาแต่เขาก็สะกดกลั้นมันไว้ด้วยหัวใจที่กำลังสั่นไหว
เกลียดร่างกายนี้ที่จะต้องยอมจำนนให้อีกฝ่ายทุกครั้งไป
ริมฝีปากอุ่นในตอนนี้มาจรดอยู่ตรงกลีบปากบางที่กำลังสั่นระริก
จะเพิ่มแรงกดจูบลงไปเพื่อเติมความเร่าร้อนให้อีกกายสะท้านไหว แต่ก็ต้องชะงัก....เมื่อสายตาสบประสานเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังสั่นไหว หยดน้ำค่อยๆรินไหลออกจากหางตาเรียวเล็กเป็นทางยาวลามมาถึงกกหู
แต่เสียงสะอื้นไห้ของร่างใต้นี้ก็ไม่มีออกมาให้ได้ยิน
ถ้าไม่สังเกต..จะไม่รู้เลย
ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้
“ร้องไห้ทำไม ไม่ได้จะเอามาฆ่า อย่าร้อง..เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิด”
ในใจอยากจะไล้ปลายนิ้วเกลี่ยคาบน้ำตาให้
แต่เห็นในท่าทีของอีกฝ่ายที่เมินเฉย หลบหลีกสายตาเขา แถมยังหันหน้าหนี ความรู้สึกที่อยากจะเช็ดน้ำตาให้นั้นก็พลันหาย
“มองเห็นด้วยหรอ..ฮึ่ก
นาย..เห็นน้ำตาของฉันด้วยเหรอ? แล้วทำไมทุกทีฉันร้องไห้แทบตาย
น้ำตาที่หลั่งต่อหน้านายซ้ำแล้วซ้ำเล่า นายไม่เห็นจะพูดเลย
ไม่เห็นจะถามสักคำว่าฉันร้องไห้ทำไม แล้วทำไมวันนี้ ฮึ่กก..” ทำไมวันนี้ถึงเอ่ยถามขึ้นมา ทั้งที่อุตส่าห์กลั้นแทบแย่
แต่นายก็เห็นมัน อยากจะพูดออกไปให้ครบประโยค แต่ก้อนสะอื้นดันติดอยู่ในลำคอ
ขืนพูดออกไปอีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่อง หรือไม่..ก็อาจไม่สนใจ
จึงทำได้แค่เพียงร้องไห้อยู่เงียบๆ ก่อนจะให้คำตอบกับอีกฝ่ายที่ตั้งคำถามไว้ก่อนหน้านั้น
ว่าเขา...ร้องไห้ทำไม
“แล้วที่นายถามว่าฉันร้องไห้ทำไม คำตอบนี้นายก็รู้แก่ใจอยู่แล้ว ได้โปรด..อย่าถามเลย..”
“ร้องไห้เพราะฉัน..งั้นเหรอ แล้วอยาก...มีความสุขแบบสุดๆเพราะฉันมั้ยล่ะ ฮึ”
ฝ่ามือใหญ่จงใจลูบไล้ไปมาอยู่บริเวณหน้าท้องแบนราบ ก่อนมือนั้นจะคืบคลานเข้ามาภายในกางเกงของร่างบาง
ตรงเข้ากอบกุมส่วนน่ารักนั้นไว้พลางนวดคลึงที่ส่วนปลายเบาๆ
“ย..อย่า..แจจุง อย่า ได้โปรด ฮึ่กก”
จุนซูเอ่ยเสียงสั่น เอื้อมจับแขนแกร่งให้หยุดทำเช่นนั้น
อดกลั้นเสียงครางที่แม้จะรู้สึกวูบไหวเมื่อโดนสัมผัสจุดนั้นเข้า
กายบางบิดเร้าด้วยความทรมานเมื่อมือใหญ่ยังคงกอบกุมแท่งเล็กไว้ ค่อยๆรูดขึ้นลงช้าๆ และหยุดลงกะทันหัน เปลี่ยนมาถอดกางเกงของคนร่างใต้นี้แทนเพื่อที่จะรังแกอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น
แจจุงล้มตัวลงนอนตะแคงข้างพร้อมกกกอดร่างเล็กไว้ มือใหญ่จับใบหน้าหวานให้หันมาพร้อมกดจูบริมฝีปากบาง พลางบีบแก้มนิ่มเบาๆ เพื่อบังคับให้ริมฝีปากจิ้มลิ้มเผยออ้ารับลิ้นร้อนเข้าไปกวาดชิมความหวานซ่านภายในโพลงปากเล็ก
เกี่ยวกระหวัดลิ้นนุ่ม
ดูดดุนอย่างเอาแต่ใจ กระนั้นจุนซูก็ไม่ขัดขืน เพราะรู้อยู่แก่ใจ ว่าไร้ผล
หรืออาจจะเป็นเพราะเขายินยอม...ก็ไม่กล้าที่จะถามใจตัวเอง
มือใหญ่เลื่อนลงต่ำ กอบกุมส่วนนั้นเพื่อปรนเปรออีกฝ่ายอย่างถึงใจ
แจจุงถอนริมฝีปากออกมา
เปลี่ยนมาไล้เลียบริเวณกกหูเล็กพลางขบเม้มใบหูนิ่มแผ่วเบา เรียกเสียงครางหวานกระเส่าของคนข้างๆได้เป็นอย่างดี
ริมฝีปากหนายังคงจ่ออยู่ตรงใบหูนิ่ม
ทั้งลมหายใจอุ่นร้อนก็คอยเป่ารดรินเข้ามายังช่องหูลามมาถึงใบหน้าจนร่างเล็กสะท้านไปทั้งร่าง
จนเผลอลูบแขนแกร่งที่ยังคงชักนำขึ้นลงยังส่วนหน้าอายของตนด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน ริมฝีปากร้ายซุกไซร้อยู่บริเวณแก้มนุ่มนิ่มพลางจูบซับแผ่วเบา
ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนลงต่ำเปลี่ยนมาหายใจรดรินยังซอกคอระหงส์แทน
“แจ..จุง ย..หยุด พ..พอได้แล้ว ฮึ่ก” เพราะเสียงร้องห้ามที่ดูเหมือนจะครางเข้าไปทุกทีของคนข้างๆทำให้แจจุงเหลือบมองดู หยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อขับให้ใบหน้าน่ารักๆดูเย้ายวนเมื่อยามได้มอง จุนซูหายใจแรงขึ้นจนแผ่นอกเรียบกระเพื่อม
เมื่อมือใหญ่รูดชักขึ้นลงถี่และเร็วขึ้น รู้สึกถึงความปั่นป่วนยังช่วงท้องน้อย
ความวูบไหวยังส่วนปลายคล้ายใกล้จะสิ้นสุดความทรมานนั้น ทำให้กายบางเผลอหันมาเผชิญหน้ากับร่างสูงตรงๆ
ซบใบหน้าลงที่ไหล่กว้าง พลางกอดแจจุงไว้แน่นราวกับหาที่พึ่ง กายบางเกร็งกระตุกก่อนจะปลดปล่อยหยาดน้ำนมสีขาวข้นล้นเต็มฝ่ามือใหญ่
“ฮึ่กก..อ๊า”
ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นก่อนจะฟุบลงในอ้อมอกแข็งแรงด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อความทรมานนี้ถึงคราวสิ้นสุด เขารู้ มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นสำหรับใครบางคนเท่านั้น
เมื่อส่วนเบื้องล่างถูกเติมเต็มในเวลาต่อมาจนรู้สึกอึดอัดคล้ายจะฉีกขาด เขาเตรียมใจไว้แล้ว หากแต่ยังไม่ทันตั้งตัว
ความเจ็บปวดก็แร่นริ้วไปทั่วร่าง จนเผลอร้องออกมาด้วยความทรมาน
“ฮืออ เจ็บบ! แจ..ฮึ่กก”
แจจุงยกเรียวขาเล็กพาดเอวตนไว้ในท่านอนตะแคง พร้อมดันกายเข้าไปจนสุดความยาว มือเล็กขยำเสื้อของแจจุงไว้แน่นเพื่อระบายความเจ็บ
จุนซูหลับตาแน่นพร้อมซบหน้าลงที่ไหล่กว้างอีกครั้ง วงแขนแกร่งสอดรั้งสะโพกอวบพร้อมกระแทกกายเข้าออกช้าๆ
ก่อนจะเพิ่งแรงกระแทกหนักหน่วงขึ้นจนถึงจุดกระสัน
“จ..แจจุง ฉันเจ็บ
ฮืออ เจ็บ..ท้อง อ๊ะ!” วงแขนเล็กสอดเข้าไปใต้วงแขนแกร่ง กอดคนร่างสูงไว้แน่น พร้อมปลดปล่อยหยาดน้ำตาไหลเลอะเต็มเสื้อของแจจุงบริเวณอกซ้ายเป็นวงกว้าง ก่อนหยาดน้ำสีใสๆจะไหลซึมผ่านเสื้อเข้าถึงด้านในจนเนินอกซ้ายของคนร่างสูงสัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะที่คนตรงหน้ากลั่นออกมา และมันค่อยๆไหลผ่านซึมลึกเข้ามายังหัวใจแกร่งทีละน้อยๆ
โดยที่เจ้าตัวมิอาจรู้ ส่วนร่างเล็ก จู่ๆกลับรู้สึกปวดท้อง ที่ความเจ็บปวดเริ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยามโดนกระทำ
แจจุงเมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มไม่ไหวจึงแช่กายไว้แบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นนั่งและยกร่างเล็กขึ้นตามพร้อมดันกายนั้นพิงไปกับหัวเตียง ผนังอ่อนนุ่มตอดรัดความมโหฬารไว้แน่นจนร่างแกร่งรู้สึกดี จุนซูรู้สึกสบายขึ้นเมื่ออยู่บนตักอุ่นๆของแจจุง
ความเจ็บปวดยังช่วงท้องก็ค่อยๆหายไป ทิ้งไว้แค่เพียงความเสียววาบยังช่วงท้องน้อยเท่านั้น
เมื่อแจจุงกระแทกกายเข้ามา
ตึ่กๆๆๆๆ..
เอี๊ยดด...
เสียงเตียงดังกระทบกับฝาผนังไปตามจังหวะที่สะโพกสอบเคลื่อนเข้าออกจนร่างเล็กสั่นคลอน พร้อมกับเสียงเปิดประตูเข้ามา กับอีกหนึ่งร่างที่กำลังจะก้าวเข้ามาภายในห้อง
หากแต่สายตาเหลือบมองไปยังมุมสวาท กับสองร่างที่กำลังนั่งกกกอดกันอยู่บนเตียง จึงทำได้แค่แง้มประตูเฝ้ามองดูด้วยหัวใจที่เกินจะเยียวยา และทำท่าจะปิดลงไว้อย่างเดิม เหมือนรู้สึกว่ามีใครกำลังจ้องมองมา
จุนซูจึงเหลือบมองไปยังประตูที่เปิดแง้มไว้
“ย..ยูชอน..ฮึ่กก” ช่องว่างเล็กๆที่คนข้างนอกเปิดแง้มไว้ ทำให้เห็นสายตาอันแน่นิ่งราวกับไร้ความรู้สึก
ที่เผลอสบเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ ยูชอนกำลังมองการกระทำที่ต่ำช้าของเขากับอีกหนึ่งคนด้วยสายตาที่เขามองแล้วรู้สึกผิดและเจ็บปวดแทน
ออกไปเสีย...อย่ามอง ได้โปรด
หันหลังกลับไป
“อยู่กับฉัน ทำไมครางชื่ออีกคนซะล่ะ ฮึ คิดถึงมันมากจนเผลอหลุดครางออกมาหรือไง!”
แจจุงบีบคางสวยอย่างแรงจนเกิดรอยแดงเพื่อให้อีกฝ่ายหันหน้ามาตรงๆ หันเพียงแค่ใบหน้า
แต่หางตายังคงทอดมองไปยังบานประตู
หยดน้ำตาเอ่อล้นที่สองขอบตาจนกระทั่งไหลมาเป็นทางผ่านร่องแก้มอย่างสุดจะกลั้น
ด้วยความสงสัยปนโมโห
แจจุงจึงมองตามสายตาที่จุนซูกำลังมองไป แล้วก็พบคำตอบพร้อมรอยยิ้มร้ายที่ผุดขึ้นยังมุมปากแทบจะทันที
“สะใจดีนะ แบบนี้ หึ! ถ้ามันจะหน้าด้านยืนดูต่อไป
ก็เรื่องของมันแล้วกัน” ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงประกบจูบริมฝีปากบวมช้ำอย่างร้อนแรง
จงใจให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาทั้งสองกำลังเร่าร้อนกันแค่ไหน
ส่วนเบื้องล่างที่แน่นิ่งไว้เสียนานก็เริ่มกระแทกกายเข้าออกดุดันและรุนแรงเพียงเพราะความสะใจส่วนตัวล้วนๆ ลืมคำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยสิ้น ยูชอนที่ทำท่าจะไปตั้งแต่ทีแรกเมื่อเห็นภาพบาดตาแบบนี้
แต่ขากลับแน่นิ่งไม่ยอมก้าวออกไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ ที่ทิ่มแทงหัวใจเขาจนแทบล้มทั้งยืน แต่แล้วก็ตัดสินใจบังคับหัวใจให้ถอยหลังกลับ
พร้อมปิดประตูไว้อย่างเดิม
เอี๊ยดด..กึก
แผ่นหลังกว้างแนบไปกับบานประตู
พร้อมหลับตาลงพยายามลบเลือนภาพเมื่อครู่ออกไปจากใจ ที่เขามาเพียงเพราะว่ามีใครบางคนนำของมาฝากเขาไว้ แล้วกำชับว่าให้นำมาให้กับจุนซู เขาจึงมาที่นี่ แต่เห็นที
คงจะไม่ใช่เวลานี้
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง
ริมฝีปากหนาจึงถอนออกมา เฝ้าแต่มองดูคนตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าสะอื้นไห้
“ยูชอน..ฮืออ..ข..ขอโทษ
ฮึ่กก” ความรู้สึกนี้
คือเขาไม่อยากเสียเพื่อนดีๆอย่างยูชอนไป เขารู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เพียงแค่เห็นดวงตาคู่นั้นที่เขาเผลอสบเข้า เขาก็รู้ทันทีว่ายูชอนกำลังผิดหวัง
ยูชอนคงจะมองว่าเขาร่าน แม้แต่ในคุกก็ยังไม่เว้น
แจจุงที่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้และเอาแต่พร่ำบอกขอโทษแต่ชื่อนั้น จึงพูดออกมา
ไปตามที่หัวใจกำลังรู้สึก..
“เวลานี้..อย่าเพิ่งนึกถึงใครได้มั้ย? อยู่กับฉัน
นายควรนึกถึงและเรียกแต่ชื่อฉันไม่ใช่เหรอ?”
“เอาไว้ในเวลาที่นายอยู่กับมัน
จะครางจะร้องหาแต่ชื่อของมัน..ฉัน...ก็จะไม่ว่าเลย”
แจจุงพูดเสียงค่อย ปลายประโยคแผ่วเบาลงเรื่อยๆ นั่นก็ส่งผลให้จุนซูเงยหน้าขึ้นสบมองอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆสวมกอดแจจุงไว้อย่างเต็มรัก โดยไม่พูดอะไรออกมาเลยสักประโยค มีเพียงเสียงครางผสานกันอย่างไพเราะเท่านั้นที่เล็ดรอดออกจากปากของคนทั้งสองในเวลาต่อมา
“อ๊า..แจ..ฮึ่ก..แจ..จุง”
“จ..จุนซู..อืมม”
ร่างกายที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง สองร่างที่กอดรัดกันแน่นแฟ้น ปลดปล่อยอารมณ์ให้จมลึกไปกับห้วงปรารถนาโดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วขณะ
หลงลืมความรู้สึกผิด ลืมความเป็นตัวของตัวเองโดยสิ้น
ทิ้งไว้แค่เพียงสัญชาตญาณดิบพาไปสู่ความสุขสมที่อีกคนมอบรสสัมผัสและอีกคนสนองตอบ
ครวญครางเรียกหากันและกันไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งต่างพากันไปจนสุดปลายทางแห่งฝั่งฝัน
ปลดปล่อยหยาดหยดในกายที่มีออกมาจนเอ่อล้นเต็มช่องทางรัก
ก่อนจะกระแทกกายเข้าไปจนสุดความยาวอีกครั้งแล้วถอนออกมา พร้อมซบหน้าลมบนแผ่นอกเรียบ
ต่างคนต่างหอบหายใจแรงไม่ต่างกัน เพราะความเหนื่อยอ่อนทำให้เปลือกตาบางรู้สึกหนักอึ้งก่อนจะค่อยๆปิดสนิท
แจจุงผละกายออกมา เห็นภาพตรงหน้าก็นึกขันในใจ ว่าแล้วก็ค่อยๆประคองกายบางที่ผลอยหลับไปเมื่อครู่ให้นอนราบไปเตียง
ส่วนตนค่อยๆกระเถิบกายมานั่งพิงหัวเตียง พลางคิดอะไรอยู่เงียบๆคนเดียว เขาขีดฆ่าตัวเลขคล้ายกำลังนับอะไรบางอย่างในใจ
พลางเสมองคนข้างๆที่หลับพริ้มไม่รู้ประสีประสา
แล้วเอ่ยกับตัวเองเบาๆ
“เหลืออีกสี่วัน...”
3 วันต่อมา
ร่างสง่าในชุดเครื่องแบบ
พร้อมสีหน้าที่นิ่งขรึมแลดูน่าเกรงขาม
กำลังสำรวจด้วยสายตาประเมินภูมิฐานของตำรวจชุดใหม่ก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงบอกว่าเขาพอใจ ขายาวก้าวผ่านตำรวจแต่ละนาย ซึ่งแต่ละคนเมื่อเห็นร่างสูงเดินผ่านก็พร้อมแนะนำตัวและทำเครื่องหมายวันทยาหัตถ์ต่อผู้ที่มียศตำแหน่งที่สูงกว่า
เพื่อแสดงความเคารพ
ยูชอนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของตำรวจคนสุดท้ายที่ดูหน่วยก้านแล้ว
คงมีฝีมือไม่เบา
“สวัสดีครับ ผม
เจ้าหน้าที่ จองยุนโฮ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
“นายดูเหมาะกับเครื่องแบบนี้นะ อย่าทำให้เราต้องผิดหวังล่ะ”
ยูชอนหันหลังกลับ เลยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายที่กำลังมองตามแผ่นหลังนั้นไป
ไม่เสียแรงที่จบกฎหมายมา เพราะช่วงวัยรุ่นใฝ่ฝันอยากจะเป็นทนายความ
เลยเอาดีมาเรียนด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ได้ใช้มัน กระทั่งวันนี้ได้ใช้ความรู้ที่ติดตัวมาให้คุ้มค่าเสียที ดีกว่าทิ้งความรู้ที่มีไปโดยเปล่าประโยชน์ เรื่องจริงที่เขาเป็นจ้าพ่อ
แต่ก็ทำในสิ่งที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย จะคอยหนุนหลังให้คนอื่นเสียมากกว่า
ไม่เปิดเผยตัวตน
ทั้งบ่อนและการปล่อยเงินกู้ล้วนถูกกฎหมาย
เลยไม่เป็นที่หมายตาของเหล่าตำรวจ
เขาจึงเข้ามาสอบตำรวจได้อย่างสบาย..โดยที่ไม่มีใครสงสัย ที่นี่... เขาจะไม่เหยียบเข้ามาเป็นอันขาด หากไม่รับรู้เรื่องราวของเพื่อนรักจากปากลูกน้องตน
“แจจุงยังไม่ตายครับ เขาอยู่ในคุก”
เพียงแค่ได้ยินคำนั้น
เขาก็รู้สึกดีใจจนอยากจะเข้ามาในคุกนี้ให้เห็นกับตาแล้วช่วยเพื่อนรักออกไป หากแต่ลองมาคิดดูอีกที ขืนโผงผางบุกเข้ามาช่วยโดยไม่ทันได้ไตรตรองให้ดี ก็อาจจะโดนจับ แล้วแจจุงอาจจะไม่ปลอดภัย
สรุปก็คือ ซวยทั้งคู่ เพราะฉะนั้น ควรจะใช้แผนตลบหลังให้แยบยล ค่อยๆเป็นค่อยไป จะได้ไม่เป็นที่สังเกต แม้จะเสี่ยงอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็จะลองสวมบทบาทของตำรวจจอมปลอมนี้ให้แนบเนียนที่สุด...
กระนั้นก็ขอให้ได้ช่วยแจจุงออกมาจากคุกนี้ก่อนที่จะโดนจับได้เข้าสักวัน
แค่นี้ก็คงจะเพียงพอแล้วที่จะชดใช้กับความรู้สึกผิดในวันนั้น..ที่เขาไม่สามารถช่วยแจจุงได้
ขอแก้ตัวสักครั้งนะ..เพื่อน
ที่คฤหาสน์หรูของซึงฮยอน
“ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน
ไอ้พวกระยำนั่นมันหนีไปถึงไหนแล้ว” อึนยองเอ่ยถามอย่างร้อนรน
ตั้งแต่ทราบข่าวที่ไอ้พวกแก๊งค์ลิงโฉดจำเลยตนได้แหกคุกออกมา ก็ถึงกับนั่งเก้าอี้ไม่ติด จะให้นิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อคดีนี้เขาเกี่ยวข้องเต็มๆ
เพียงแค่แสร้งผ่านไปเห็นและเป็นพยานให้ในรูปคดี
ใครจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเพียงแค่ยืมมือไอ้พวกโง่สิบคนนั้นมาเป็นโล่กำบังโฉมหน้าฆาตรกรที่แท้จริงอย่างเขา
จำลองเหตุการณ์ขึ้นมา ทำเป็นว่าตนเป็นผู้บังเอิญผ่านมาพบเห็นโศกนาฏกรรมเข้า
และตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้เพื่อป้องกันตัว
ช่วยไม่ได้ ทั้งคิบอม ฮันเกิง และคังอิน
เราต่างเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
แต่แส่ไม่เข้าเรื่องที่ดันมาล่วงรู้เรื่องภายในครอบครัวเขาเกี่ยวกับคดีลูกเลี้ยงและคิดจะแบล็กเมล์กันทีหลัง
โชคดีที่เขาไหวตัวทัน
เลยใช้แผนซ้อนแผนลวงไอ้คนทรยศสามคนนั้นมาฆ่าปิดปากเสีย และเรียกไอ้พวกเพื่อนหน้าโง่ทั้งสิบคนออกมา.....
ระวังไอ้พวกถ่อย 10 คน ...กับเขา ก็รู้ๆอยู่ ว่าตำรวจจะเลือกเชื่อใคร
“พวกมันอยู่กับไอ้ยุนโฮ
ฉันรู้มาแค่นี้ ” ซึงฮยอนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขามีเรื่องให้สะสางอีกตั้งมาก
ยังต้องมานั่งเสียเวลาให้ลูกน้องไปสืบความเคลื่อนไหวของไอ้แก๊งค์นักโทษสิบคนที่แหกคุกมาอีก
บางทีก็รู้สึกเบื่อและหงุดหงิด หากว่าอึนยองไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับเขา คงจัดการยิงแสกหน้าไปนานแล้ว
“ยังไงก็อย่าให้มันได้กลิ่นฉัน
จนตามมาล้างแค้นแทนเพื่อนพวกมันแล้วกัน ที่เหลือฉันฝากนายด้วยนะ
ซึงฮยอน เอ่อ..แล้วเจ้าสาวของนายล่ะ ได้ข่าวอะไรคืบหน้าบ้างหรือยัง?”
“ยัง...ฉันปล่อยไปก่อน” ขืนโผงผางออกตามหา ก็กลัวจะทำให้เหยื่อตื่นตัวและพากันหนีไปไกล
นั่นก็จะยิ่งยุ่งยากและวุ่นวายกันไปใหญ่
สู้อยู่เฉยๆและพอพวกเด็กน้อยนั้นได้ใจ หลังจากนั้นก็จะง่ายที่จะตามตัวกลับมา
เมื่อเห็นซึงฮยอนเงียบไป
หญิงสาววัยกลางคนจึงออกมานอกคฤหาสถ์หรูด้วยสีหน้ากังวลคล้ายกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบจนรู้สึกหนักหน่วงไปหมด
“ฮึ..ยังมีเรื่องให้สะใจในวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งเรื่อง
โชคดีนะจ๊ะสำหรับวันพรุ่งนี้ ลูกรัก
ลูกชัง”
หล่อนเน้นคำหลังด้วยเสียงที่เล็ดรอดออกจากไรฟัน
ความสะใจเริ่มเข้ามาแทนที่ความกังวลจนเผยรอยยิ้มร้ายออกมาท่ามกลางท้องฟ้าที่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำชั่วๆของหล่อน
แต่แล้วรอยยิ้มร้ายก็จางหายไปเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนทันที
เมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังจะเดินเข้ามาหาหล่อนพร้อมคนรักของลูก
“สวัสดีครับแม่ /สวัสดีครับคุณน้า” คีย์และมินโฮเอ่ยทักทายผู้อาวุโสตรงหน้าขึ้นมาพร้อมๆกัน
หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น
มินโฮก็ให้เขาย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ กับเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมากในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป
เหตุผลที่ว่านั้น...เพื่อให้เขาหลบหนีและอำพลางตัวอยู่ที่นี่กับคดีที่เขาก่อไว้ จนกว่าข่าวจะซาลง
“เดี๋ยวฉันเข้าไปข้างในก่อนนะ
ตามเข้ามาด้วยล่ะ”
“อืม..”
มินโฮเดินเข้าไปข้างใน
เพราะตนไม่อยากอยู่สนทนากับคนใจร้ายที่หัวใจทำด้วยกระดาษทรายอย่างแม่ของคีย์
ร่างเล็กมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยสายตาที่เหม่อลอย อึนยองเมื่อสังเกตเห็นลูกชายที่ทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ซ้ำยังแลดูเปลี่ยนไปจึงจับไหล่บางไว้ เพื่อเรียกสติลูกชายให้กลับคืน
“เป็นอะไรไปลูก..หืม
มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ หรือทะเลาะกับมินโฮมาหรือเปล่า บอกแม่ได้นะ” น้ำเสียงห่วงใยที่คนเป็นแม่เอ่ยถามขึ้นมานั้น
ทำให้สองขอบตาเรียวเริ่มร้อนผ่าว
แม้ผู้เป็นแม่จะทำแต่สิ่งที่ผิดและจ้องแต่จะทำร้ายคนอื่น
กับความรักความห่วงใยที่มากล้นคงจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้และสัมผัสได้จากคนๆนี้
แต่บางทีพอมาคิดดูแล้ว หากรักเขาจริง ใยถึงสั่งสอนเขาทำในสิ่งที่ผิด เขากำลังสับสน ว่าแม่รักเขาแบบไหน...หรือแท้ที่จริงแล้ว แม่ไม่เคยรักเขาเลย
ร่างเพรียวบางค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดผู้เป็นแม่พร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น
“แม่ครับ ฮึ่กก
ผมเหนื่อย” เหนื่อยจนหมดแรง..กับการวิ่งไล่ตามความรัก ที่ยิ่งกระเสือกกระสนไล่ตามมันสักแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะห่างไกลและจากตนไปในที่สุด
สุดท้าย..ก็สุดจะคว้าไว้ เขาอยาก..หยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้แค่นี้ มันทรมาน
“เหนื่อยอะไรกัน
สงสัยเพลียจากการเดินทางมาใช่มั้ย
ไปพักผ่อนเสีย หลับตาผ่อนคลายซะ” ฝ่ามือหยาบก้านลูบไปมายังเรือนผมสีน้ำตาลเข้มด้วยความเอ็นดู ในใจรู้สึกสงสัยไม่น้อยที่จู่ๆลูกชายตนก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“คืนนี้ผมค้างกับมินโฮที่นี่นะครับ” คีย์ผละกายออกมา พลางกอบกุมฝ่ามือหยาบก้านนั้นไว้
“เอางั้นเหรอลูก
อืม ดีสิ ดีแล้วล่ะ งั้นแม่กลับก่อนนะ”
เมื่อสบายใจแล้ว อึนยองจึงแย้มยิ้มให้กับลูกชายก่อนจะเดินจากไป หล่อนไม่รู้เลยว่า มีบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป
หัวใจที่มืดบอดของลูกชายกำลังจะแปรเปลี่ยน
“แม่ครับ..ผมรักแม่นะครับ และผมก็รักตัวเอง รักมากเกินไป จนกลายเป็นเห็นแก่ตัว”
ไม่ช้า ไม่เร็ว
ความเลวของผมก็จะถูกตีแผ่เข้าสักวัน แม้จะหนีให้ตายสักแค่ไหน
แต่ก็หนีความจริงไม่ได้อยู่ดี
การอยู่อย่างไร้ตัวตนบนโลกใบนี้
ใช้ชีวิตสนุกสนานเป็นอิสระเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งก็ไม่ได้ กับความสะใจในช่วงเวลาสั้นๆที่หน้ามืดตัดสินทำในสิ่งที่ผิด เขาไม่รู้เลย
ว่ามันจะต้องแลกกับความสุขทั้งชีวิตของเขา
นำพามาซึ่งความทุกข์ทรมานที่เขากำลังเผชิญ
.
.
.
.
ช่วงเย็นของวันนั้น
“ไปไหน” แจจุงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนข้างๆขยับกายลุกขึ้นนั่งและทำท่าจะลงจากเตียง
“ไปเดินเล่นข้างนอก” เขาอยากออกไปหายใจอยู่นอกห้อง
เพราะตอนรู้สึกอึดอัดราวกับอากาศที่ใช้หายใจในห้องนี้มีไม่เพียงพอสำหรับเขา หรือนั่นเป็นเพียงเหตุผลที่เขาอ้างขึ้นในใจ แท้ที่จริงเขาแค่ไม่อยากอยู่กับแจจุงเพียงแค่สองคนภายในห้องแคบนี้ต่างหาก
คับที่เขาอยู่ได้อย่างสบาย
แต่คับอกคับใจ นั้นอยู่ยาก..มันอึดอัด
“กลับมาเร็วๆ”
ทันทีที่เห็นเรียวขาเล็กจะก้าวออกไปนอกห้อง เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ส่งผลให้ใบหน้าหวานหันมามองและพยักหน้าเบาๆ
แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม
แต่ละย่างก้าวช่างยากลำบาก
เมื่อยามขยับกายแต่ละทีหรือแม้จะเดินไปทางไหนก็ถูกจับตามองจากเหล่าผู้คุมไม่ให้คลาดสายตา เขารู้สึกอึดอัดเสียยิ่งกว่าอยู่ในห้องแคบนั้นซะอีก โดนควบคุมด้วยสายตาแบบนี้ ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่เดินก้มหน้างุดเดินไปข้างหน้า
นี่แหละนะ ชีวิตของนักโทษ ยังไม่คุ้นชินอีกหรือ คิมจุนซู
“เดินก้มหน้าอยู่แบบนั้น
เดี๋ยวก็ชนกับอะไรเข้าหรอก” น้ำเสียงคุ้นหูแสนอ่อนโยนเอ่ยทักเขา ที่ฟังกี่ครั้งก็รู้สึกสบายใจ แต่ครั้งนี้เขากลับลำบากใจเมื่อต้องเงยขึ้นเผชิญกับร่างสูงตรงหน้า
จุนซูถอยหลังกลับ
พร้อมทั้งหันหลังให้กับยูชอนและทำท่าจะเดินจากไป
แต่มือใหญ่รั้งแขนเล็กไว้ก่อน“ทำไมช่วงนี้ถึงทำตัวเหินห่างกันจัง หืม มีอะไรหรือเปล่า” ถึงถูกรั้งไว้ แต่จุนซูก็ยังคงเบือนหน้าหนี
ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ
“อ..อย่ามายุ่งกับคนอย่างผมเลย
ยูชอน” จุนซูชักมือหนี พร้อมกับก้มหน้าลงอย่างเดิม ในวันนั้นที่ยูชอนผ่านมาเห็นเขากับแจจุงกำลังกอดกัน
เขายังลืมไม่ลงแล้วกับยูชอนมีหรือจะจำไม่ได้ เขาไม่กล้าสู้หน้ากับเรื่องน่าอับอายแบบนั้น
เขาไม่อยากเจอยูชอนเลย รู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
“มีคนฝากของมาให้นายด้วย
นี่ รับไว้”
ยูชอนยื่นถุงขนมและของกินมากมายมาตรงหน้าของเด็กหนุ่ม จุนซูรับมันไว้ด้วยท่าทีงงวย
ก่อนจะเอ่ยถามนายตำรวจหนุ่มด้วยความสงสัย
“ใครหรอครับ
ผมไม่มีญาติแล้ว นอกจาก...แม่เลี้ยงของผม”
“ไม่รู้สิ
แต่ดูท่าทางเด็กนั่นจะเป็นห่วงนายมากเลยนะ ชื่อชางมินน่ะ นายรู้จักหรือเปล่า” กว่าจะรู้จักชื่อ ก็เล่นเอาเหงื่อตก
ถามว่าเป็นญาติฝ่ายไหนของจุนซูก็ไม่ยอมบอก จนกระทั่งเขาบอกว่าถ้าไม่บอกชื่อมา
เขาจะไม่ยอมเอาของกินพวกนี้มาให้จุนซุ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวเป็นใครมาจากไหน
หวังร้ายใส่ยาอะไรลงไปหรือเปล่า
เขาพร่ามยาวขนาดนี้
เจ้าเด็กร่างสูงจึงยอมบอก
“ชางมิน?” ชางมินไหนกัน
เขาไม่เคยรู้จักชื่อนี้เลย แต่ก็ช่างเถอะ หิวจะแย่อยู่แล้ว
“แต่ยังไงก็ขอบคุณยูชอนมากเลยนะครับ
ผมกลับห้องก่อนดีกว่า”
ใบหน้าน่ารักเผยรอยยิ้มอ่อนๆให้กับคนตรงหน้า
ก่อนจะหันหลังกลับ และเดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่
“เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมนะจุนซู ไม่ว่านายจะเจอเรื่องอะไรมา จำไว้ ว่าฉันยังยืนอยู่ตรงนี้เสมอ” ยูชอนพูดตามแผ่นหลังนั้นไป
แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
หากแต่จุนซูกลับได้ยินชัดเต็มสองหู เขารู้ดียูชอนยังไม่ลืม
เพียงแต่แสร้งทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อให้เขาสบายใจ แบบนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดยิ่งกว่า...
20.00 น.
แกร๊กก..
เอี๊ยดด...
โซ่เส้นหนาที่คล้องไว้หน้าประตูถูกเปิดโดยผู้คุมที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเมื่อเห็นนักโทษร่างเล็กจะเข้าไปข้างใน พร้อมเสียงประตูที่ถูกเปิดออกในเวลาต่อมา ไม่รอช้าจุนซูรีบก้าวเข้าไปภายในห้องแคบทันที
แล้วประตูก็ถูกปิดลงไว้อย่างเดิม
จุนซูเดินมาหยุดอยู่ปลายเตียง เห็นแจจุงยังคงนอนหลับอยู่ที่เดิมก็ขึ้นมานอนเคียงข้างกับร่างแกร่งที่นอนหันหลังให้
ใบหน้าหวานไล้สายตามองแผ่นหลังกว้างก่อนจะค่อยๆเขยิบกายเข้าหาไออุ่น แขนเล็กค่อยๆสวมกอดร่างหนา
พร้อมแนบใบหน้าลงบนลาดไหล่กว้างจากด้านหลัง
เปลือกตาคมค่อยๆลืมขึ้น เหลือบมองดูมือเล็กที่โอบกอดตนไว้
แจจุงยังไม่หลับ...
“ตอนแรกที่เห็นนายหลับอยู่แบบนี้
ฉันอยากจะบีบคอนายให้ตายๆไปซะ แต่แปลกที่วันนี้ฉันอยากกอดนาย..” แน่นอนว่าแม้น้ำเสียงที่จุนซุเอ่ยออกมานั้นจะแผ่วเบาบางสักแค่ไหน แจจุงได้ยินทุกถ้อยคำ เขาไม่รู้เลยว่าในสายตาตัวเองกำลังสั่นเทาพอๆกับหัวใจที่กำลังถูกสั่นคลอน สิ่งที่เขาไม่ชอบก็คือ สิ่งที่ทำให้หัวใจเขาที่มันตายด้านไปแล้ว กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เลือดในกายที่เย็นยะเยือก มันกลับอุ่นซ่านลามไปถึงขั้วหัวใจอันหนาวเหน็บ เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้ อยากจะกระชากแขนนี้ให้ออกไปไกลเสียด้วยซ้ำ แต่เขากลับทำได้แค่เพียงอยู่นิ่งๆ ให้จุนซูสวมกอดเขาไว้แบบนี้จนเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง
แจจุงจึงผละกายออกมาอย่างนึกเสียดาย
“จุนซู..จุนซู” ฝ่ามืออุ่นตบแก้มนิ่มเบาๆเพื่อให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมา
ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตอนไหน พรุ่งนี้จะขึ้นศาลแล้วยังจะหลับลงอีก
ทำไมเป็นเขาที่หลับไม่ลง
“หือ..มีอะไรหรอ” จุนซูงัวเงียตื่นขึ้นมา
รู้สึกหงุดหงิดที่มีใครมาปลุกทั้งที่กำลังหลับฝันหวาน
“เก็บของอะไรให้เรียบร้อย
พวกยาพ่น อะไรที่สำคัญน่ะ รีบเก็บเข้า”
“ทำไม?”
“อย่าถามมาก เวลามีไม่มากแล้ว” เมื่อเห็นคนตัวเล็กยังคงทำหน้าสงสัย
ในใจก็นึกรำคาญ
จึงก้มลงกระซิบชิดริมหูนิ่มเผื่อคนข้างนอกมันหูดีได้ยินเข้า และนั่นก็ทำให้จุนซูเบิกตาโพลง
ในประโยคนั้น...
“จะพาแหกคุก อย่าชักช้า”
ก๊อกๆๆ
แกร๊กก...เอี๊ยดดด
ผู้คุมที่เฝ้าหน้าห้องเปิดประตูทันทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะจากด้านใน พร้อมเอ่ยถามนักโทษภายใต้ความควบคุมของตนเสียงเข้ม
“จะออกมาทำอะไรดึกด.. อ๊อกก!” ไม่รอให้เจ้าของร่างหนาพูดจนครบประโยค แจจุงก็ตรงเข้าล็อกคอจากด้านหลังโดยไม่ทันให้ผู้คุมนายนั้นตั้งหลักเลยสักนิด พร้อมออกแรงใช้แขนตนรัดลำคอแกร่งไว้แน่น
จนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนจนน่ากลัว ร่างหนาหายใจรวยรินก่อนจะสลบไปนี่สุด
คนตัวเล็กที่ยืนหลบอยู่หลังประตูค่อยๆชะโงกคอมองด้วยความหวาดกลัว และเมื่อเห็นแจจุงลากร่างที่สลบใสลเข้ามาภายในห้อง ก็เอ่ยถามเสียงสั่น
“จ..จะทำอะไรหรอ?”
“เดี๋ยวก็รู้”
ปึง!!
เสียงปิดประตูดังสนั่น ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจประตูนั้นก็เปิดออก
พร้อมคนทั้งสองที่กำลังจะก้าวเดินออกมาจากห้องแคบ
แจจุงในตอนนี้อยู่ในชุดของผู้คุมและไม่ลืมที่จะสวมหมวกเพื่ออำพลางใบหน้า ส่วนจุนซูยังคงอยู่ในชุดของนักโทษเช่นเดิม โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลย
ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไรต่อไป
ส่วนผู้คุมที่ถูกแจจุงลากเข้าไปในห้อง
ก็นอนเปลือยเปล่าอยู่บนพื้นปูนเย็นเฉียบไม่ได้สติ
มือใหญ่เอื้อมจับข้อมือเล็กพร้อมกับเดินไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ
จุนซูเดินตามไปอย่างว่าง่ายจนกระทั่งเดินมาเคียงข้างกับร่างสูงและจับแขนแกร่งไว้แน่นไม่ให้แจจุงได้เดินห่างตนไปไหนเลย
“อย่าแสดงตัวว่าเป็นเมียฉันขนาดนั้นสิ เดินห่างๆ
ให้เหมือนกับว่าฉันกำลังควบคุมนายอยู่ อย่าลืม
ว่าตอนนี้ฉันอยู่ในชุดของผู้คุม และนายเป็นนักโทษ ไม่ได้เป็นผัวเมียกัน เข้าใจมั้ย?” จุนซูพยักหน้าหงึกๆ
ก่อนจะหน้าแดงก่ำเพราะดันรู้สึกตัวช้าในประโยคเมื่อครู่
“จะบ้าหรอ! ใครเมีย น..อ๊ะ!” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นปิดริมฝีปากรั้นนั้นไว้แล้วดันกายบางเข้ามาหลบหลังกำแพงเมื่อสายตาไวเหลือบเห็นผู้คุมร่างสูงใหญ่นายหนึ่งกำลังเดินตรวจตราดูความเรียบร้อย
“ถ้าเดินออกไปแล้ว นายห้ามพูดอะไรเข้าใจมั้ย ห้ามโวยวายด้วย
ฉันพูดอะไรก็เงียบไว้” จุนซูพยักหน้ารับ กระพริบตาถี่พร้อมกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อภายใต้หมวกนั้นเขาเห็นสายตาดุดันและจริงจังของคนตรงหน้า
ตัวเขาก็แทบหดเหลือสองนิ้ว เมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น
ไม่รู้ว่าพยักหน้านี่รู้หรือกลัวกันแน่ แต่เขาก็ค่อยๆคลายมือออกจากปากนั้น แล้วพาจุนซูเดินออกมาจากหลังกำแพง
“นั่นจะพานักโทษไปไหน” เมื่อเห็นแจจุงในคาบของผู้คุมกำลังพานักโทษร่างเล็กเดินผ่านหน้าตนไปก็เอ่ยถามขึ้น
“ย้ายไปอยู่ที่เรือนจำ” แจจุงก้มหน้าลง พร้อมกับจับมือเล็กไว้แน่น ทำท่าจะเดินไปต่อ แต่ก็ถูกผู้คุมตัวจริงพูดดักไว้ก่อน
“ทำไมไม่ไปตอนเช้าๆ
นี่มันก็ดึกมากแล้ว”
“ว่าแต่นาย...เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่หรอ
ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้า”
“ถามเหี้ยอะไรเยอะแยะวะแม่ง! รำคาญ!”
แจจุงสบถออกมาอย่างอดกลั้น สวนหมัดเข้าที่ใบหน้าโหดของผู้คุมเต็มแรง
พร้อมถีบเข้ากลางท้องจนร่างสูงใหญ่ล้มพับลงไปนั่ง ยังไม่พอ
มือใหญ่เอื้อมหยิบไม้ของผู้คุมที่ตกอยู่ที่พื้นพร้อมฟาดเข้ากลางหลังเต็มๆ
จนร่างใหญ่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น ฟุบหน้าแนบไปกับพื้นปูนด้วยสติที่ใกล้จะเลือนรางจนสลบไปในที่สุด
จุนซูมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาตื่นตื่นตระหนก
พลางหายใจเฮือกใหญ่
มือใหญ่รีบคว้าข้อมือเล็กไว้
มือใหญ่รีบคว้าข้อมือเล็กไว้
“ไปกันเหอะ!”
แจจุงกระชับมือเล็กไว้แน่นพร้อมทั้งวิ่งไปข้างหน้าไม่คิดชีวิต
เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับจุนซูที่ไม่รู้โรคหอบจะกำเริบเอาตอนไหน ใบหน้าหล่อก็คอยหันมามองตลอดว่าคนตัวเล็กยังไหวอยู่หรือเปล่า
ซึ่งจุนซูก็พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าตนยังไหวอยู่
จนกระทั่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงทางออก ที่มีรั้วลวดหนามไฟฟ้าห้อมล้อมรอบทัณฑสถาน
เป็นการยากที่ออกไปเป็นอิสระ
แจจุงอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่มีระบบความปลอดภัย ใช้สัญญาณอินฟราเรดสำหรับตรวจจับ จะเห็นทุกความเคลื่อนไหวภายในเรือนจำ ไหนจะกล้องวงจรปิดอีก แต่ทำไมป่านนี้ดันไม่มีผุ้คุมแห่กันมาจับสักคน
ทั้งสองไม่ทันได้สังเกตเลยว่าก่อนหน้านี้ที่พวกเขาจะวิ่งออกมานั้น
ในทัณฑสถานไฟดับทั้งอาคารจนมองไม่เห็นอะไร
แจจุงและจุนซูได้วิ่งออกมาท่ามกลางความมืดสงัดไร้แสงไฟจนกระทั่งมายืนอยู่ตรงจุดๆนี้ได้ อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็เป็นได้
“แฮ่กๆๆ..ฮึ่กก ” จุนซูหอบหายใจแรง ยกมือขึ้นทาบทับที่หน้าอก
มืออีกข้างล้วงเข้าที่กระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบยาพ่นขึ้นมาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับอมยังปลายกระบอกและฉีดพ่นลงไปในลำคอเหมือนอย่างเคย
เพราะรู้ว่าตัวเองเริ่มไม่ไหวแล้ว
“จะขี่หลังฉันมั้ย? ขืนอยู่ตรงนี้นานๆเข้า ไม่ใช่แค่ผู้คุม
แต่ตำรวจจะแห่กันมาด้วย”
“อืม”
แจจุงลดตัวลงนั่งยองๆ
เพื่อให้อีกฝ่ายขี่หลังตนได้สะดวก วงแขนเล็กโอบล้อมลำคอแกร่งไว้หลวมๆ
ฮึ่บบ!
ร่างแกร่งยืนขึ้นเต็มความสูงและเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ใบหน้าหวานในตอนนี้แดงซ่าน
เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จุนซูหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อใบหน้าหล่อดันหันมาเห็นพอดี ทำให้ใบหน้าของคนทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ
“ยิ้มอะไร? เวลานี้ยังจะยิ้มออกอีกนะ”
“ป..เปล่าซะหน่อย” ใบหน้าหวานเบือนหนี
กลบเกลื่อนความเขินอายโดยการแหงนหน้าขึ้นมองเบื้องบนที่ไม่มีดาวเลยสักดวง นั่นก็ทำให้แจจุงหัวเราะหึออกมา
ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วก็ต้องชะงักงัน เมื่อเจอแขกไม่ได้รับเชิญยืนอยู่ตรงหน้าซึ่งห่างกันไม่เกินเมตร
เมื่อเห็นจู่ๆแจจุงนิ่งไป คนตัวเล็กจึงเหลือบมองดูข้างหน้าแล้วก็ต้องตกใจไม่ต่างกัน
เมื่อเห็นจู่ๆแจจุงนิ่งไป คนตัวเล็กจึงเหลือบมองดูข้างหน้าแล้วก็ต้องตกใจไม่ต่างกัน
ตึก..ๆ..ๆ..ๆ
“พวกนายจะไปไหน?”
แวะมาคุยกันสักนิด ^^
Who that!!
ใครมันมาโผล่ท้ายตอน ไว้มาลุ้นกันตอนหน้านะคะ เอ๊ะ! อาจจะมีใครเดาถูกก็ได้ อิอิ
ตกใจมาก กะยอดวิวตอนที่แล้ว มันเยอะโฮกกก นี่มันลับสุดๆ แล้วน๊าาา ฮ่าๆๆๆๆ
คนที่ทิ้งเมลไว้พาร์ทที่แล้ว อย่าลืมมาให้แอมเห็นด้วยเน้ออ หายไปแล้วใจหายน๊า T^T
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ เวลาจะเม้นเต็มที่เลยเน้อ ไม่ต้องไปกั๊ก จะออกมาสั้นหรือยาว
ไรท์เตอร์อ่านแต่ละเม้นก็ดีใจสุดๆแล้ว
ส่วนคอมเม้นที่ยาว(ย้ำว่ายาวมาก) เมื่อกดเผยแพร่แล้ว มันอาจจะไม่ขึ้นให้ในนี้ มันจะมาเข้าเมลแอมแทนค่ะ ไม่เป็นไร ไม่ใช่ปัญหาค่ะ แอมจะเอามาแปะเองทุกคอมเม้นที่มันวกเข้าเมลแอม
สบายจ้าา อิอิ (แอบปลื้มคอมเม้นยาว หลงรัก >///<)
เปิดเพลงคลอไว้ตลอดเลยเน้อ เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่าน ^[]^ ฉากบู๊ๆไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
อาศัยนึกภาพแล้วบรรยายตามที่เห็นอ่าา ส่วนเอ็นซี อิอิ ห่างหายมานานเกินไป ต้องเคาะสนิม
มันอาจไม่ได้หวือหวามาก ไม่ได้หวานด้วย เพราะ.......(อ่านแล้วคงรู้ชิมิ T^T)
ยังไงอ่านแล้วเม้นๆให้ไรท์เตอร์ด้วยนะคร้าาาาาาาา ^^
ยังไงอ่านแล้วเม้นๆให้ไรท์เตอร์ด้วยนะคร้าาาาาาาา ^^


Music Playlist at MixPod.com
song : Dark sad beat
Gummy - because of you