เมื่อได้ยืนอยู่ปากเหว
ระหว่างความเป็น และความตาย...ห้ามได้หรือ หากจะท้าทายกับโชคชะตา
ไม่รู้ว่าทำเพื่อตัวเอง...หรือใครอีกคนที่เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในหัวใจ
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
ภายในห้องที่ใช้สำหรับตรวจดูความเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่ติดรอบทัณฑสถาน
และสัญญาณอินฟราเรดที่ใช้ตรวจจับสิ่งผิดปกติภายในเรือนจำ ด้วยความไว้วางใจนั้น
ปาร์คยูชอนจึงเรียกให้ตำรวจบรรจุใหม่ที่มีฝีมืออย่างชองยุนโฮมาคอยเฝ้าและตรวจดูพฤติกรรมของนักโทษภายในห้องนี้
ส่วนตนจะขอไปรื้อแฟ้มคดีที่ห้องทำงานของตนเพียงลำพังเกี่ยวกับคดีที่ซ่อนปมไว้ระหว่างนักโทษชายทั้งสิบที่แหกคุกออกไปและคิมอึนยองที่ได้เข้ามาแจ้งความและดำเนินคดีเมื่อหลายปีก่อนจนศาลตัดสินให้นักโทษชายทั้งสิบจำคุกโดยไม่มีกำหนดออก ซึ่งดูท่าแล้วคดีนี้อาจจะพลิกผันก็ได้ เพราะพฤติกรรมของอึนยองดูน่าสงสัยนัก
“ยังไงก็อย่าหักโหมมากนะครับ
พักผ่อนบ้าง เจ้าหน้าที่ปาร์ค” ยุนโฮเอ่ยขณะที่ยูชอนจะก้าวออกจากห้องไป
“อืม ฉันฝากนายด้วยนะ” ยูชอนหันมายกยิ้มให้อย่างเหนื่อยล้า
เพราะทั้งวันเขาไม่ได้พักเลย ไม่มีเวลาว่างให้ได้พักหายใจ
เพราะต้องทำการสอบสวนผู้ต้องหารายอื่นในคดีต่างๆตั้งมากมาย
ทันทีที่ยูชอนก้าวออกจากห้องไปและปิดประตูลง
ร่างสูงโปร่งในชุดนอกเครื่องแบบก็เดินสำรวจรอบห้องกว้าง ดูแล้วคงสร้างระบบรักษาความปลอดภัยไว้อย่างเข้มงวด ยากที่จะแหกคุกออกไป
พวกลูกน้องของตนมีสิบหัวคงช่วยกันคิดหาทางแหกคุกออกมาได้ นับว่าโชคดีแค่ไหน
ที่รอดพ้นออกมา
ระหว่างที่คิดจะหาหนทางช่วยเพื่อนออกไปจากเรือนจำ
บนหน้าจอมอนิเตอร์หลายสิบตัวได้ปรากฏภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งมองดูแล้วมีนักโทษสองคนที่คิดจะพากันหนี ส่งผลให้รอยยิ้มร้ายจุดขึ้นที่ริมฝีปากหนาอย่างพอใจ แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้ว ที่จะ...
พรึ่บ!
ฝ่ามือใหญ่จัดการสับสวิทซ์หลักซึ่งอยู่ในห้องนั้น ส่งผลให้ไฟทั้งอาคารดับสนิทมีเพียงความมืดที่ปกคลุมไปรอบทัณฑสถาน
รวมทั้งระบบความปลอดภัยก็ใช้การอะไรไม่ได้ เพราะถูกตัดหมดแล้ว
“พ่อตำรวจคนขยัน ทำงานในความมืดไปก่อนแล้วกันนะ หึๆ”
ถ้าเป็นตำรวจ วันนี้มีเพียงเขากับเจ้าหน้าที่ปาร์คแค่สองคน แต่ถ้าเป็นผู้คุมป่านนี้ก็คงวิ่งวุ่นในการจับนักโทษที่คิดหนีอย่างแจจุงและนักโทษอีกหนึ่งคนเป็นแน่
ว่าแต่...อีกคนนั่นใครกัน...
เหตุการณ์ปัจจุบัน
“พวกนายจะไปไหน?”
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็มองไม่ชัดว่าเป็นใครที่เข้ามาขัดขวาง ฝ่ามือเล็กบีบไหล่กว้างทั้งสองข้างของแจจุงไว้แน่น
พร้อมทั้งฟุบหน้าลงด้วยความหวาดกลัว
จุนซูพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ไว้
แต่น้ำตาที่มันไหลออกมาไม่หยุดจนเลอะเต็มไหล่กว้างนั้นทำให้แจจุงรับรู้
ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยหวาดกลัวอะไร
มีเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่รู้สึกกลัว
แค่กลัวใครอีกคนหนึ่งที่อยู่บนหลังจะไม่ปลอดภัย
เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ในระยะที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงบนใบหน้า เมื่อมองดูให้ดีๆเป็นแจจุงที่ต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ถ้าครั้งนี้พระเจ้าจะเข้าข้างคนอย่างเขา
ก็ต้องขอขอบคุณ..
แจจุงไม่พูดอะไรออกมา
แม้จะกระจ่างในใจโดยไร้คำอธิบายใดๆ
แต่คำถามมากมายมันยังล้นอยู่ในอกจนอยากจะถามออกไป
แต่ในตอนนี้เวลามีไม่มากแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนดึงเข้าไปอยู่ในเกมส์ที่กำหนดเวลา เมื่อช้าเวลาก็หมดลง แล้วเป็นเราที่ไม่รอด ถือว่าจบเกมส์...
“พวกนายรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ
อย่าเพิ่งไปไหน” เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินออกไป พร้อมทั้งคำพูดเมื่อครู่ที่ดูเป็นมิตรนั้น
ทำให้จุนซูค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาพร้อมคราบน้ำตาที่ไหลเลอะเต็มใบหน้า แขนเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองให้จางหาย ก่อนจะเอียงคอมองดูใบหน้าหล่อที่มีสีหน้านิ่งเฉย
ในดวงตาไม่ฉายแววอะไรนอกจากความว่างเปล่า
นั่นก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกเบาใจ เพราะเป็นสีหน้าปกติธรรมดาของแจจุงที่เย็นชาอยู่แล้ว แสดงว่าคงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลสินะ
“แจจุง...” ขณะที่เรียกชื่ออีกฝ่าย
แก้มใสก็แนบอยู่ที่ลำคอของชายหนุ่มพร้อมทั้งมองดูแผ่นหลังของคนแปลกหน้าที่เดินออกไปจนลับสายตา
“ฮึ..”
“เราปลอดภัยดีแล้ว..ใช่หรือเปล่า”
“อืม...” แค่เพียงคำพูดสั้นๆห้วนๆ
เขาก็รู้สึกโล่งใจ แม้จะรู้สึกกังวลและหวาดกลัวมากเท่าไหร่
แต่ขอแค่มีแจจุงนั้นอยู่ใกล้ เขาก็รู้สึกปลอดภัยแล้ว
เราจะหนีไปด้วยกัน
ไม่ว่าจะที่ใด ฉันจะไม่ไปไหนจากนาย
ขอแค่นาย...อย่าทิ้งฉันไปไหน
บรื้นน...
เวลาไม่กี่อึดใจรถกระบะสีดำได้แล่นเข้ามาจอดข้างหน้าคนทั้งสอง ยุนโฮก้าวลงจากรถมา พร้อมทั้งโยนถุงเสื้อผ้าให้กับแจจุง ฝ่ามือใหญ่รับมันไว้ ร่างแกร่งค่อยๆย่อตัวลงเพื่อให้คนที่ขี่หลังอยู่ได้ลงมา
“นายสองคนเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถนะ เดี๋ยวฉันจะคอยมองรอบๆให้” ยุนโฮยังคงเฝ้ามองไปยังอาคารที่มืดสงัด หวังว่าให้คนข้างในเข้าใจผิดว่าถูกไฟตัด ขอให้อย่าจับได้ว่ามีคนจงใจสับสวิซท์ไฟ...
ไม่มัวรออะไร คนทั้งสองก้าวเข้าไปนั่งในรถอย่างเร่งรีบ ซึ่งยุนโฮก็ปิดประตูให้และยังคอยระวังโดยรอบไม่ให้คราดสายตา ตอนนี้ยังไม่มีอะไรให้น่าวิตก เพราะทั้งอาคารไฟยังคงดับอยู่
ภายในรถนั้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ จุนซูดันเผลอไปมองอีกฝ่าย ก็พบกับร่างกึ่งเปลือยของแจจุงที่กำลังง่วนงุ่นอยู่กับการใส่กางเกง
และนั่นก็ทำให้หัวใจดวงน้อยๆเต้นแรงทุกขณะเมื่อยามหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่แต่ละครั้ง
พอคนทั้งสองจัดการกับอาภรณ์ของตัวเองเสร็จจนไม่เหลือคราบนักโทษแล้ว
ร่างแกร่งจึงโน้มตัวเข้าหาร่างเล็กที่กล้าๆกลัวๆ พร้อมทั้งพูดอะไรออกมา ซึ่งทำให้คนฟังไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี
“กลัวตายหรือเปล่า”
“......” ไม่พูดอะไร ได้แต่ส่ายหน้ารัวเมื่อยามมองสีหน้าที่จริงจังของคนตรงหน้า จุนซูกลืนน้ำลายลงลำคออย่างยากลำบาก
เมื่อใบหน้าหล่อได้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ระยะห่างเพียงแค่ลมหายใจคั่นกลาง
ดวงตาคมเหลือบมองริมฝีปากที่กำลังสั่นเทา และนั่นก็ทำให้หัวใจดวงน้อยๆถึงกับเต้นไม่เป็นส่ำ
ตึกๆๆ...
“อยู่กับฉันมันก็เหมือนผ่านความตายมาแล้วนี่
ถ้าเจออะไรต่อจากนี้มันก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่หรอก” เหมือนต้องการจะทบทวนความทรงจำ
ฝ่ามือใหญ่อีกข้างได้ลูบเข้าที่ต้นคอขาวเนียนพร้อมกับบีบและกดลงไปที่เนื้อขาวละเอียดจนเกิดรอยแดง จุนซูนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
ฝ่ามือเล็กยกขึ้นจับมือใหญ่ไว้ให้หยุดกระทำ เพราะตนเคยเรียนรู้ความทรมานจากแจจุงมาแล้ว ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก
แจจุงจึงค่อยๆคลายฝ่ามือออก เมื่อเห็นหางตาของอีกฝ่ายมีหยาดน้ำตารื้นอยู่
ภายในห้องทำงานของตำรวจหนุ่ม
ยูชอนหยิบกระบอกไฟฉายขนาดเล็กที่เหน็บไว้ที่เอวขึ้นมา พร้อมทั้งเดินออกมานอกห้อง ใช้แสงสว่างจากไฟฉายคอยส่องนำทาง
สัญชาตญาณมันบอกว่าลางสังหรณ์เริ่มไม่ค่อยดี จู่ๆไฟมาดับทั้งอาคารแบบนี้ ราวกับจงใจ
ทำไมป่านนี้ชองยุนโฮยังไม่โทรมารายงานอะไร ทำไมคนที่เขาไว้ใจชอบทำตัวให้น่าสงสัยนัก
“เจ้าหน้าที่ปาร์คครับ
มีนักโทษชายสองคนแหกคุกออกไปได้” ผู้คุมร่างใหญ่ที่โดนแจจุงทำร้ายจนร่างกายฟกช้ำรีบวิ่งเข้ามาหาปาร์คยูชอนทันที่ที่ตำรวจหนุ่มออกจากห้องทำงานมา
“พอจะจำได้หรือเปล่าว่าเป็นนักโทษคนไหน” เขายังคงใจเย็นที่จะรอฟังคำตอบ
แม้เรื่องนี้จะแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ตามเพราะคงทำพลาดไม่ได้อีก
ครั้งหนึ่งก็เคยโดนตำหนิเรื่องนักโทษชายที่แหกคุกออกไปแล้ว
“คิมแจจุง
และนักโทษอีกคนที่จะขึ้นศาลพรุ่งนี้ครับ” คิมจุนซู...
“อืม...เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง” ครั้งนี้ก็แค่นักโทษชายแหกคุกไปอีกสองราย
แต่เขามั่นใจว่าพวกที่แหกคุกออกไปไม่มีความผิด มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เขาตั้งสมมติฐานขึ้นเท่านั้น ส่วนแจจุงแม้จะผิดจริงในคดีฆ่าคนตาย
หากแต่เป้าหมายของฉันก็ไม่ใช่นายตั้งแต่แรกแล้ว
ส่วนเรื่องพรุ่งนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไป แต่ถ้าไม่มีจำเลย
การพิจารณาของศาลในคดีอาญาครั้งนี้คงไม่สมบูรณ์
ตัดสินไม่ได้สินะ...
แจจุง ฉันฝากนายด้วย
พาจุนซูหนีไปให้ไกล
ที่เหลือนี้ ฉันจะจัดการเอง...
ยุนโฮรีบเดินมาเปิดประตูรถพร้อมทั้งเข้ามานั่งข้างในอย่างเร่งรีบ สองฝ่ามือจับพวงมาลัยรถไว้อย่างมั่นคง
เท้าแกร่งได้ตรงเข้าเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถ และขับไปข้างหน้าอย่างร้อนรน
“ฉันไปส่งพวกนายถึงแค่ในตัวเมืองนะ
นอกนั้นหาทางหลบหนีกันเอาเอง” เพราะไม่รู้ว่ากลับไปจะเจออะไรหรือเปล่า ร้ายแรงสุดก็แค่โดนปลดประจำการ ยังไงก็เอาความไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่จะมาเอาผิดตน
“ขอบใจ” คำขอบคุณสั้นๆแต่มาจากใจ บุญคุณที่เพื่อนได้ช่วยเหลือตนในครั้งนี้ สักวันเขาจะต้องตอบแทน
ขณะที่รถได้มุ่งเข้าสู่ท้องถนนใหญ่
นกน้อยที่เพิ่งหลุดออกมาจากกรงขังที่ได้สร้างรอยร้าวและความทรมานไว้อย่างสาหัส
เมื่อพบหนทางแห่งอิสระ หัวใจก็เหมือนถูกปลดปล่อย
โลกภายนอกที่เมื่อยามมองทั้งสองข้างทางดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ชีวิตเขากำลังจะเปลี่ยนไปนับจากนี้
เมื่อรถได้แล่นมาถึงตัวเมือง
ยุนโฮจึงเลือกที่จะเข้าไปจอดรถในตรอกทางแคบเพราะมองดูแล้วไม่มีใครผ่านมาแถวนี้
มาเฟียหนุ่มในคาบตำรวจได้ยื่นของสิ่งหนึ่งให้กับเพื่อนสนิท
เพราะคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแจจุงและใครอีกคนที่มาด้วยกัน
“เงินปึกนี้มันอาจไม่มากมายอะไร
แต่ก็พอจะให้พวกนายหลบหนีไปได้ รับไปสิ” แจจุงรับเงินปึกนั้นมา แม้ลึกๆจะเกรงใจไม่น้อย แต่ก็จริงอย่างที่เพื่อนสนิทว่า หากไม่มีเงินคงยากลำบากที่หนีหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาชีวิตรอด
“นี่ก็ด้วย” ขาดไม่ได้เลย สำหรับปืน...
รถกระบะได้ขับออกไปจนลับสายตา
ทิ้งไว้แต่สองร่างที่จะต้องเผชิญกับชะตากรรมบนโลกที่ไร้ความยุติธรรม ต่อจากนี้...จะเป็นยังไงนะ จะโชคดีได้แบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า
“นายรู้จักกับคุณตำรวจคนนี้ด้วยหรอ?”
แจจุงไม่ตอบอะไรได้แต่หันมามองคนขี้สงสัยด้วยแววตาไม่สื่อความหมายใดๆ ก่อนจะเดินออกมาจากตรอกทางแคบ ร่างเล็กจึงรีบเดินตามไปติดๆ
แปะๆ..
เม็ดฝนหยดแหมะลงบนแก้มสาก ทำให้ใบหน้าหล่อแหงนขึ้นมองดูท้องฟ้าที่มืดสงัด หมู่เมฆสีดำได้ก่อตัวหลอมรวมกัน
ฟ้าแลบแปลบปลาบและส่งเสียงคำรามลั่น
ในไม่ช้าฝนคงตกหนักเป็นแน่
ร่างแกร่งหันไปมองคนข้างหลัง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
ปลายนิ้วหยาบกระด้างยกขึ้นเช็ดละอองฝนบนแก้มเนียนใสบางเบา ก่อนแจจุงจะดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะของอีกฝ่ายเมื่อมีละอองฝนตกลงมาประปราย ดวงตากลมใสจ้องมองใบหน้าหล่อที่ก้มลงมา
รอยยิ้มบางเบาจุดขึ้นที่ริมฝีปากบาง เมื่อคนตรงหน้ากำลังขยับเชือกฮู้ดของตนและดึงให้เข้าที่
นายยังเหมือนเด็กๆไม่เปลี่ยนเลยนะ จุนซู
“นายไม่มีฮู้ดคลุม โดนละอองฝนแบบนี้จะไม่สบายนะ” เพราะเสื้อที่แจจุงสวมใส่เป็นเพียงแค่เสื้อคลุมที่สวมทับกับเสื้อกล้ามสีขาวไม่ได้มีฮู้ดปกคลุมศีรษะเหมือนอย่างเขา
เลยเอ่ยถามออกไปเพราะความเป็นห่วงอยู่ที่มีอยู่ล้นอก
“ไม่ตายหรอก” เอะอะก็พูดว่าไม่ตายอย่างเดียว ตัวเองแข็งแกร่งสักแค่ไหนกันเชียวนะ
จุนซูล้วงอะไรบางอย่างในกระเป๋าออกมา
ซึ่งของสิ่งนี้เขาได้เก็บมันไว้พร้อมกับสร้อยข้อมือหญ้า เมื่อตอนเด็กๆเขาเก็บเงินซื้อเอง
เพราะนั่นหมายความว่าของสิ่งนี้จะมีค่าเมื่อได้ลงทุนด้วยตัวเอง
มันคือแว่นเรแบรนด์สีดำเท่ห์ๆ
ซึ่งเหมาะกับใครคนหนึ่งยิ่งนัก แจจุงมองแว่นราคาแพงในฝ่ามือของจุนซูด้วยความสงสัย ก่อนที่อีกฝ่ายจะจัดการสวมแว่นนั้นให้กับตน
ของสิ่งนี้ก็เหมาะกับแจจุง...เช่นกัน
“นายสวมมันไว้นะ พอดี..ฉันตั้งใจจะให้กับใครบางคน แต่ฉัน
ให้นายก็ได้” เพราะหากจะหลบหนี
แว่นตาของเขาก็อาจจะใช้อำพรางใบหน้าได้ไม่มากก็น้อย แจจุงใส่แล้วเท่ห์มากๆเลยล่ะ
ทำไมเขาถึงอยากจะให้ของสิ่งนี้กับอีกฝ่ายก็ไม่รู้ หากวันใดวันหนึ่งได้เจอคนสำคัญของเขา แล้วจะเหลือสิ่งไหนให้กันนะ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีอะไรนอกจากตัวและหัวใจ
แต่ไม่เป็นไรหรอก
เขาตั้งใจจะให้กับแจจุง...ให้ไปแล้วก็ทวงไม่ได้แล้วด้วย
(รวมทั้งหัวใจก็ด้วย)
“ใจง่ายจังเลยนะ
หึ”
แจจุงดึงข้อมือนั้นมา
พร้อมทั้งเดินไปข้างหน้าท่ามกลางอิสระและสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา แม้จะตกไม่หนักมาก
แต่เมื่อนานๆเข้า เส้นผมและเสื้อผ้าก็เปียกจนชื้นแฉะได้เหมือนกัน แจจุงเสยผมที่เปียกชุ่มของตัวเองขึ้น
พร้อมกระชับฝ่ามือนุ่มนิ่มและออกแรงวิ่งไปข้างหน้า เพราะหากชักช้าอีกฝ่ายอาจจะไม่สบายก็เป็นได้
ภาพเด็กน้อยสองคนจับมือกันวิ่งเล่นท่ามกลางสายฝน กำลังฉายชัดในความทรงจำของคนทั้งสองโดยไม่รู้ตัว ต่างฝ่ายต่างหันมามอง
ต่างเห็นใบหน้าของเด็กน้อยในวันนั้นซ้อนทับที่ใบหน้าของกันและกัน
ไม่น่าเชื่อว่าจากแค่เคยวิ่งเล่นตากฝนอย่างสนุกสนานด้วยกันสมัยเด็กๆ
ในตอนนี้กลับต้องพากันวิ่งหนีสิ่งที่โหดร้ายจากขุมนรกนั้น
รอยยิ้ม ความทรงจำ และสายฝน
จะเป็นสิ่งที่น่าจดจำในช่วงเวลาอันขมขื่น
แจจุงได้พาคนตัวเล็กมายังคอนโดแห่งหนึ่ง ที่หลบซ่อนสำหรับค่ำคืนนี้
เอี๊ยดด...
หญิงสาวเปิดประตูออกมาเมื่อได้ยินเสียงกดออดดังขึ้น
ทันทีที่ใบหน้าสวยหวานโผล่พ้นออกมานอกประตู พร้อมทั้งร่างบอบบางที่มายืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาคมก็ถึงกับแดงก่ำและมีหยาดน้ำตาคลอหน่วงอยู่เต็มสองเบ้า
เมื่อเห็นหญิงสาวที่ตนรักต้องมาเผชิญชีวิตอย่างยากลำบากตามลำพัง และแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองผ่านตนไป
จียอน...บางครั้ง
เธอต้องเผชิญกับโลกที่มืดบอดเพราะสายตาที่มองไม่เห็นอะไร มันอาจจะดีกว่ามีสายตาที่มองเห็นแต่ความสกปรกและความมืดหม่นบนโลกใบนี้
มองไม่เห็นอะไรเลยยังจะดีเสียกว่า....
ห้องนี้เขาเป็นคนจองไว้ รวมทั้งเงินมากมายที่ได้ค่าจ้างจากการฆ่าคนนั้น เขาทิ้งไว้ให้กับจียอนก่อนที่ตัวเองจะถูกจับเข้าคุก
คนที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนตายจาก...มีเพียงแค่หญิงสาวตรงหน้าเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องทางสายเลือด ที่เขา...หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้
“จียอน...” น้ำเสียงของพี่ชายดังขึ้นราวกับตนกำลังฝันไป
น้ำตาแห่งความดีใจไหลรินมาเป็นทางผ่านร่องแก้มอย่างสุดจะกลั้น ฝ่ามือนุ่มอีกข้างยกขึ้นจับที่แก้มสาก
และได้ถูกฝ่ามือใหญ่ทาบทับไว้
“พี่แจ..พี่แจจุง พี่แจจุงจริงๆใช่มั้ยคะ ฮึกก!”
จียอนเดินเข้ามาสวมกอดพี่ชายด้วยความคิดถึง ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบกลุ่มผมสีดำขลับด้วยความรักใคร่
แม้ภาพตรงหน้าจะบาดใจใครบางคนสักแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ขอที่จะเก็บลึกลงไป ไม่แสดงออกมาว่ากำลังน้อยใจ
คนรักของนายสินะ แจจุง...
เมื่อคิดไปเองเสียแล้ว
คงห้ามไม่ได้ที่จะเสียใจ
ภายในห้องขนาดกว้างที่หญิงสาวได้จัดไว้ให้แจจุงและจุนซูเพื่อที่จะให้คนทั้งคู่ได้พักสำหรับคืนนี้ ร่างเล็กนอนกระสับกระส่ายอยู่กลางเตียง
เพราะป่านนี้ใครอีกคนยังไม่เข้ามาในห้องเลย เพราะความอยากรู้จึงค่อยๆเดินไปเปิดประตูพร้อมก้าวออกมาจากห้อง เดินมาเพียงไม่กี่ก้าว ก็พบกับร่างของหญิงสาวและชายหนุ่มนั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาว
ทั้งแววตาและน้ำเสียงที่ห่วงใยของแจจุงในขณะที่พูดกับหญิงสาวน่ารักคนนั้น หากในเวลาที่แจจุงพูดกับเขา ขอให้น้ำเสียงและแววตาของอีกฝ่ายอ่อนโยนได้ครึ่งหนึ่งเหมือนตอนนี้ก็คงจะดีไม่น้อย
นี่เขาเป็นอะไรไปนะ
ทำไมความรู้สึกถึงได้งี่เงาแบบนี้นะ
เขาแอบฟังการสนทนาของคนทั้งสองอยู่เงียบๆที่มุมๆหนึ่ง
พร้อมทั้งพิจมองใบหน้าของทั้งคู่ซึ่งดูไปแจจุงและหญิงสาวคนนั้นก็มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน
ทั้งดวงตา จมูก และริมฝีปาก
หากบอกว่าเป็นพี่น้องกัน
เขาจะเชื่อโดยไม่มีข้อแม้
“อยู่คนเดียวลำบากหรือเปล่า
ฮึ”
“ไม่หรอก...วันๆ
ก็อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนเลย
จะโทรสั่งอาหารสำเร็จรูปให้ขึ้นมาส่งมากกว่า”
“แล้วมีใครมาหา มาข่มขู่อะไรหรือเปล่า”
“ม..ไม่มี” จียอนส่ายหน้าปฏิเสธรัว
แต่นัยน์ตาเริ่มฉายแววกังวล กลัวว่าคำโกหกคำโตจะทำให้พี่ชายจับได้
“หรือว่ามี” จียอนเป็นน้องสาวของเขา มีหรือที่จะอ่านสีหน้าของคนเป็นน้องไม่ออก
“เปล่านะ
ไม่มี ฮึ่ก”
“บ่อยมั้ย? เล่าให้พี่ฟังมาทั้งหมด เราเป็นน้องสาวคนเดียวของพี่นะ บอกมาเถอะ”
น้องสาวเหรอ...จริงๆด้วย จุนซูแอบดีใจอยู่ลึกๆ
ในที่สุดหล่อนก็ยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เป็นพี่ชายได้รับฟัง หญิงสาวได้ใช้ชีวิตตามลำพังภายในห้องนี้อย่างหวาดระแวงไม่มีความสุขเลยสักวัน
เพราะความที่อยากรู้เรื่องราวของแจจุงที่อยู่ในคุกนั้น เขาเลยดันทุรังขอร้องให้ใครสักคนที่เกี่ยวข้องกับแจจุงได้บอกตนว่าตอนนี้ผู้เป็นพี่ชายได้ใช้ชีวิตยังไง
มีความเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งลูกน้องของซึงฮยอนที่ชื่อทงยองเบได้เสนอมาเองว่าจะเป็นคนเล่าให้ฟังทั้งหมด
“และฉัน..ฮึ่กก
ก็โดนคนเลวนั่นขืนใจทุกครั้งเพื่อแลกกับคำบอกเล่าเกี่ยวกับตัวพี่ ฮืออ” จุนซูยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาเริ่มร้อนผะผ่าว
ไม่คาดคิดว่าชีวิตของหญิงสาวหน้าตาน่ารักจะต้องมาเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ร่างเล็กที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆพร้อมน้ำตารู้สึกหดหู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก เขาสงสารจียอน
แล้วก็สงสารแจจุงไม่น้อยไปกว่ากันเลย
แจจุงเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับน้องสาว ก็ถึงกับกำฝ่ามือแน่นอย่างนึกแค้น ใบหน้าหล่อได้แต่เสมองดูใบหน้าของน้องสาวที่มัวแต่ก้มร้องไห้กับโลกที่แสนโหดร้าย
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
เมื่อชีวิตของตนในตอนนี้ก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะขาดลงเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้
ทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องกับตน....ทำไมถึงล้วนเจอแต่เรื่องแบบนี้
จุนซูรีบเดินเข้าห้องไป
ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าตนนั้นแอบมองอยู่
แต่สายตาของนักล่า
มีหรือจะไม่รู้ว่ามีใครบางคนแอบมอง
“จียอน...เดี๋ยวพี่ไปนอนก่อนนะ
พี่รบกวนเราแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น”
“แล้วพี่ต้องหนีแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนหรอคะ มีทางอื่นอีกหรือเปล่า ที่จะปลอดภัยกว่านี้” ฝ่ามือนุ่มตรงเข้ากอบกุมฝ่ามือของพี่ชายด้วยความกังวล และสายตาก็ได้ มองผ่านใบหน้าของแจจุงไปอีกเช่นเคย
แจจุงไม่ตอบอะไร ได้แต่ลูบศีรษะมนด้วยความเอ็นดูแต่แฝงไปด้วยรอยแยกของความแค้นๆอยู่ลึกๆในก้นบึ้งของจิตใจกับคนที่ทำร้ายน้องสาวของตนให้ต้องแปดเปื้อนไปด้วยมือสกปรกของไอ้นรกนั่น
หรืออาจจะเป็นเพราะกรรมที่ตนเคยทำไว้กับใคร
กรรมนั้นเลยตกมาอยู่ที่น้องสาวของตนอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไปนอนได้แล้ว
เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
เมื่อเดินมาส่งจียอนเข้านอนถึงห้อง
ตนจึงดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาห่มกายให้น้องสาวผู้เป็นที่รัก ก่อนจะก้มลงจุมพิตบนหน้าผากเนียนเพียงบางเบา
“ฝันดีนะ” เมื่อเห็นเปลือกตาบางปิดกลั้นสนิทพร้อมลมหายใจที่สม่ำเสมอนั้น
บ่งบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายคงจะเข้าสู่ห่วงนิทราไปเรียบร้อย
ตนจึงออกมาจากห้องและค่อยๆปิดประตูลงให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่หลับไปแล้ว
เอี๊ยดด..กึก
ในขณะที่ร่างเล็กได้นอนหันไปอีกทาง
บนเตียงใหญ่ในคราแรกมีเพียงแค่หนึ่งร่างเท่านั้นที่นอนอยู่ แต่ไออุ่นที่แผ่นหลังสัมผัสได้ คือร่างกายของใครอีกคนได้เข้ามานอนเคียงข้างกันเมื่อครู่ จุนซูค่อยๆหันไปอีกทางที่มีอีกหนึ่งร่างนอนอยู่ คิดว่าอีกฝ่ายจะนอนหันหลังให้เสียอีก
แต่กลับกลายเป็นว่าแจจุงนั้นหันมาทางตน
เสียงหัวใจเต้นระรัวเมื่อใบหน้าของเราสองคนห่างกันไม่ถึงคืบ
“นายได้ยินหมดแล้วสินะ” ลมหายใจถึงกับสะดุด จุนซูรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย แต่แจจุงก็ไม่ได้ทำร้ายหรือแตะต้องจุนซูเลยสักนิด ที่รู้ว่าตนแอบฟังเรื่องราวเมื่อครู่
แม้จุนซูจะรอฟังคำระบายของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะอัดอั้นมานานจนแทบระเบิดออกมาเป็นทางน้ำตา แต่กระนั้นก็ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของแจจุงเลย มีเพียงความเงียบเท่านั้น...
“แจจุง”
หากตาไม่ฝาด บังเอิญตนเห็นดวงตาของอีกฝ่ายมีหยาดน้ำสีใสๆคลอหน่วงอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นประคองสองแก้มที่ติดจะหยาบไว้อย่างไม่อิดออด
ใบหน้าหวานเคลื่อนเข้าหาใบหน้าหล่ออย่างเชื่องช้า
พร้อมทั้งจูบซับที่เปลือกตาคมบางเบา
ซึ่งแจจุงก็หลับตาลงพยายามซึมซับความอบอุ่นที่อีกฝ่ายได้ถ่ายทอดให้
นายทำให้หัวใจของฉันยังคงเต้นอยู่...คิมจุนซู
“ไม่เป็นไรนะ
นอกจากน้องสาวของนายแล้ว ยังมีฉันที่จะอยู่เคียงข้างนายเสมอ ฮึ่กก ขอแค่นาย
...อย่าทิ้งฉันไปไหนก็พอแล้ว”
ฉันไม่ขอสัญญา
หากวันใดวันหนึ่งนายได้พ้นข้อหา
นายต่างหากที่จะต้องปล่อยมือไปจากฉัน
ริมฝีปากบางที่กำลังเอ่ยวาจาถูกแนบสนิทด้วยริมฝีปากอุ่นซ่านของแจจุงแทนคำตอบ
ร่างแกร่งได้เขยิบกายเข้ามาใกล้ร่างเล็กมากกว่าเดิม
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นจับแก้มใสเพื่อปรับองศาให้อีกฝ่ายได้รับรสจูบจากตนได้ง่ายขึ้น จุนซูเผลอจับไหล่กว้างด้วยความรู้สึกวาบหวาม พลางขยับกายเข้าไออุ่นจากร่างแกร่งจนแทบหลอมละลาย
และร่างกายได้พันธนาการสองหัวใจให้ผูกติดไว้จนไม่สามารถคลายออกจากกัน แม้บ่วง
จะคือกรรมที่ชักพาให้คนทั้งสองได้ตกอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ แต่บ่วงรักที่มีสองสายเลือดผสานกัน นั้นสามารถเชื่อมโยงหัวใจของแจจุงและจุนซูให้รู้สึกผูกพัน
เซ็กซ์ในครั้งนี้
ก็อาจจะมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง
“อ..อ๊า
แจ..แจจุง ฉัน..รักนาย” เสียงครางแห่งความสุขสมที่เพรียกหาแต่ชื่อของเขาพร้อมคำบอกรักที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายในขณะที่ร่างกายยังคงเชื่อมต่อกัน เมื่อได้ยินคำนั้น ทำไมหัวใจกลับรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกบีบด้วยน้ำมือของคนตรงหน้า
จุนซู...นายกำลังจะฆ่าฉันให้ตายลงอย่างช้าๆ ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนยากจะมอบให้กับใครคนหนึ่ง
ชั่วชีวิตของนักฆ่าอย่างเขาต้องทิ้งความรู้สึกนั้นไว้และก้าวไปข้างหน้าตลอดทางที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือด
แต่คำบอกรักของนาย...มันกำลังทำให้ฉัน...อ่อนแอ อย่างที่ไม่เคยเป็น
แสงอรุณแรกแย้มวันใหม่ได้สาดส่องเข้ามาผ่านรอยแยกของม่านหน้าต่างจนตกกระทบเข้ากับเนื้อนวลที่โผล่พ้นชายผ้าห่มเรื่อยขึ้นมาถึงใบหน้ากระจ่างใส
เปลือกตาเรียวกระพริบถี่
ก่อนจะลืมขึ้น แต่แล้วก็ต้องหลุบตาลงต่ำด้วยความแสบเมื่อถูกแสงแดดส่องแยงตาเข้า รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่ริมฝีปากสีระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อยามมองดูที่เอวตนยังคงถูกโอบกอดไว้จากคนข้างหลังไม่คลายไปไหน ร่างบางค่อยๆขยับกายเพื่อที่จะหันไปหาอีกฝ่าย
ซาตานตัวร้ายเวลานอนดูน่าหลงใหลและไร้พิษสงใดๆ แต่หากตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป ความรู้สึกที่มีให้กับคนตรงหน้า มีเพียงความรักเท่านั้น
“แจจุง..เช้าแล้วนะ
ไม่ตื่นหรอ” จุนซูไม่อาจรู้เลยว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นออดอ้อนคนฟังได้มากแค่ไหน
แม้เปลือกตาคมจะยังปิดสนิทแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าตัวจะยังหลับอยู่ แน่นอนว่าคนอย่างแจจุงต้องตื่นก่อนจุนซูอยู่แล้วเพียงแค่ไม่ยังอยากลุกออกจากเตียง
ยิ่งมีคนข้างๆนอนอยู่ด้วย
ยิ่งไม่อยากลุกไปไหนเลย
“ยังไม่ตื่นงั้นนอนต่อก็ได้...”
แก้มใสแนบลงไปที่แผงอกเปลือยเปล่า พลางขยับกายเข้าหาร่างแกร่งจนเนื้อแนบเนื้อ
ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายลามมาถึงหัวใจ แม้จะมีผ้าห่มคลุมกายอยู่แล้วก็ตาม แต่เมื่อเนื้อได้ห่มเนื้อ ย่อมอุ่นกว่าเป็นไหนๆ
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ บางครั้ง ก็จากเราไปอย่างไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่ทำได้ ก็คือเก็บเกี่ยวและซึมซับเข้ามาในหัวใจให้มากที่สุด
เพราะเวลามักจะเดินไปข้างหน้าเสมอ...
เรื่องที่มีนักโทษชายแหกคุกไปถึงสองรายถูกปิดเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะยูชอนได้ดำเนินการทุกอย่างด้วยตนเอง
สั่งปิดข่าวกับสื่อทุกสำนัก
หากมีข่าวแพร่งพรายออกมา จากสื่อใด และแหล่งข่าวไหนก็ตาม
เขาจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
คิมอึนยองและทนายความส่วนตัวได้เดินทางมาถึงศาลเกาหลีใต้ในเวลารุ่งเช้าตามคำสั่งหมายนัดของศาล
ในมือถือซองสีน้ำตาลที่เป็นหลักฐานสำหรับสู้คดีในชั้นศาล เพียงแค่นี้ก็ดูออกแล้วว่าใครจะชนะคดี ชัยชนะควรจะตกอยู่ในมือของหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากไม่ทราบข่าวว่าศาลได้เลื่อนพิจารณาคดีไปแบบไม่มีกำหนด
เนื่องจากจำเลยได้แหกคุกหนีออกไปได้
“บ...บ้าชะมัด” ฝ่ามือหยาบกร้านกำเข้าหากันแน่น หล่อนโกรธจนตัวสั่น ทั้งที่วันนี้ท้องฟ้าก็แจ่มใสดี
เป็นลางบอกว่าเขาจะต้องชนะคดีอย่างแน่นอน
ทำไมกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
คิมแจจุง..อย่าบอกนะ ว่าแกเป็นคนพาไอ้ลูกนอกไส้ของฉันหนีไป
ลำพังไอ้เด็กขี้โรคนั่นจะมีปัญญาอะไรแหกคุกออกไปได้ บัดซบที่สุด
หล่อนนัดพบกับยูชอนด้วยความร้อนรน
ซึ่งชายหนุ่มก็ยอมมาตามนัดแต่โดยดี
“พลาดอีกแล้วเหรอ? คนอย่างนายน่าจะลาออกจากการเป็นตำรวจไปซะนะ จะต้องให้พลาดอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่กัน!” หล่อนตะคอกใส่ตำรวจหนุ่มอย่างหัวเสีย
ในเมื่อตอนนี้จำเลยของตนได้หนีรอดออกมาได้ทั้งนั้น
จากลักษณะของอึนยองเมื่อได้ทราบข่าว
ดูจะไม่ปราณีลูกเลี้ยงตัวเองเลยสักนิด
กะจะให้จุนซูโดนประหารจริงๆน่ะเหรอ
โหดร้ายไปแล้วสำหรับคนเป็นแม่ แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆก็ตาม แต่อย่างน้อยก็อยู่ด้วยกันมา
ย่อมมีความผูกพันเป็นธรรมดา
แต่ในสายตาของหญิงสาววัยกลางคนดูจะไม่ชอบจุนซูเอาซะเลย
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี
ที่ลูกชายของคุณโดนฆ่าตาย นั่นอาจจะทำให้คุณแค้นใจจำเลยอย่างคิมจุนซูมาก
แต่ความผูกพันที่คุณได้เลี้ยงและดูแลจุนซูมา
มันไม่ได้ช่วยให้คุณปราณีลูกเลี้ยงตัวเองเลยเหรอ?” ยูชอนเริ่มจี้จุดอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ
จนได้เห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของคิมอึนยองอย่างเห็นได้ชัด
“หรือคุณไม่หลงเหลือความรัก
และความผูกพันให้ลุกเลี้ยงคุณเลยตั้งแต่ทีแรก” เส้นอารมณ์ขาดผึงยากที่จะต่อให้ติดอีกครั้ง
“นี่เขาเรียกว่าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันหรือเปล่าเจ้าหน้าที่ปาร์ค
หึ
ยังไงฉันก็จะให้ตำรวจนายอื่นตามจับกุมมาให้ได้ คนร้ายจะปล่อยให้ลอยนวลหรือไง และขอบอกไว้เลย
ว่าฉันจะไม่รบกวนคุณเรื่องนี้
กลัวจะทำพลาดจนโดนตำหนิอีก หึๆ”
“และถ้าคุณจะดำเนินการให้ตำรวจนายอื่นๆตามจับกุมตัวนักโทษที่แหกคุกออกไป
ขอให้เป็นไปอย่างเงียบๆ อย่าปล่อยข่าวให้ครึกโครมเหมือนที่คุณเคยทำ”
“แล้วนายเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาสั่ง เป็นแค่ตำรวจยศกระจอกๆ คิดจะสั่งฉันได้เหรอ? เจ้าหน้าที่ปาร์ค” ยูชอนยกยิ้มให้กับคำพูดนั้น
ก่อนจะจัดการล้วงอะไรบางอย่างในกระเป๋าขึ้นมา แล้วชูให้หญิงสาวตรงหน้าดู
ว่าความจริงคืออะไร ยศที่ติดภายในกระเป๋านั้น บ่งบอกถึงตำแหน่งใหญ่ของยูชอน
ที่เป็นถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
“จะมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ยังไงคุณก็ต้องทำตามที่ผมบอก
ไม่อย่างงั้น ผมก็ไม่ปล่อยคุณไว้เหมือนกัน” อึนยองตัวแข็งทื่อเหมือนถูกตรึงไว้ ดวงตาเรียวเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
ไม่คาดคิดว่าตำรวจหนุ่มตรงหน้าจะมียศใหญ่โตถึงเพียงนี้
เรื่องง่ายๆ กลับกลายเป็นยากขึ้นไปอีก...
ช่วงเที่ยงของวันนั้น
ยุนโฮได้ถูกยูชอนเรียกให้เข้ามาในห้องทำงานของตน
ซึ่งพอร่างสูงโปร่งได้มายืนอยู่ตรงหน้าตำรวจหนุ่มที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่ที่โต๊ะทำงานนั้น ก็ซ่อนสีหน้าไว้ไม่แสดงอาการอะไรออกมา
“มีอะไรจะพูดหรือเปล่า?” หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
“ไม่นี่
คุณต่างหาก มีอะไรถึงเรียกผมมา” หรือว่าอีกฝ่ายจะรู้แล้ว
เลยพูดแบบนั้นออกมา
ใช่สิ..ยูชอนไม่ใช่คนโง่ และถ้าหากจะไล่ตนออก ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
“หากคุณรู้เรื่องทุกอย่างดี ที่เหลือคุณจะจัดการกับผมยังไงก็ได้
ผมคงไม่แก้ตัวอะไร ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”
ก่อนที่จะหันหลังให้
พร้อมทั้งจะเดินออกไปจากห้อง หากแต่ถูกอีกฝ่ายพูดดักเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ” เสียงฝีเท้าหยุดลง
“นายช่วยฉันสืบคดีของจุนซู
และนักโทษ 10คนนั้นด้วย ได้หรือเปล่า?” ก่อนจะหันหลังกลับมาเมื่อได้ยินประโยคนั้น
“รับทราบครับ” เข้าทางสิ เขาตั้งใจไว้ว่า พอได้ช่วยเพื่อนรักออกมาได้แล้ว ที่เหลือ
เขาอยากจะสะสางและช่วยหาทางออกให้พวกลูกน้องได้พ้นคดีอย่างไม่มีข้อกังขา
จะได้ไม่ต้องถูกตามล่าโดยหาความสุขไม่ได้เลย
ว่าแต่ชางมิน...ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันนะ
.
.
.
ที่ห้องพักของชางมิน
“พี่ชาย...ว่าแต่พี่ชายทำงานอะไรเหรอ
แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้พวกเราได้พักอาศัยที่นี่อ่ะ
ถ้าไม่ได้พี่ชายพวกเราแย่แน่ๆเลย” แทมินเอ่ยขอบคุณพี่ชายตัวสูง คนที่มีพระคุณต่อตนและคนรัก หากไม่ได้พี่ชายคนนี้พวกเขาคงไม่มีที่ไป
“อย่ารู้เลย
เดี๋ยวฉันออกไปข้างนอกก่อนนะ พวกนายจะกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันซื้อของมาฝาก” เพราะเด็กพวกนี้เล่าให้ฟังว่าถูกตามล่าจากซึงฮยอนอยู่
อันที่จริงเขาก็พอรู้มาจากข่าวที่ว่าเจ้าสาวของมาเฟียโหดหายตัวไป ที่สำคัญไปกว่านั้นเด็กพวกนี้ยังรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับจุนซูอีกต่างหาก
ซึ่งแทมินก็ได้เล่าให้เขาฟังทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับจุนซู
แล้วพี่ชายยังได้โทรมาบอกอีกว่า...มีนักโทษแหกคุกออกไปสองราย
ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นคิมจุนซูด้วย
จุนซู..ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกัน
ทำไมชีวิตของนายต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ
“ความจริงผมก็อยากจะออกไปข้างนอกบ้างนะ
แต่คนพวกนั้นคงอยู่ทุกที่ทุกตารางนิ้วในประเทศเลยน่ะ ลำบากพี่ชายอีกแล้ว” อนยูพูดเสริมขึ้นมาอย่างนึกเกรงใจ
ลำพังมีที่ซุกหัวนอนก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ไม่ลำบากหรอก
พวกนายมากกว่าที่ลำบาก ไปก่อนนะ อ้อ! ฉันแนะนำไม่ให้ใช้โทรศัพท์โทรหาใครนะ
เพราะคนที่ตามล่าพวกนายอาจจะดักฟังสัญญาณอยู่ก็ได้”
พูดพร้อมเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
โดยทิ้งเด็กหนุ่มสองคนไว้ให้อยู่ในห้องของตน
.
.
.
ถึงเวลาที่แจจุงและจุนซูจะต้องออกมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ร่างสูงได้สวมกอดน้องสาวก่อนจะผละกายออกมา
ตัดไม่ได้เลยกับความกังวลและเป็นห่วงอยู่ล้นอกที่จะให้จียอนได้ใช้ชีวิตตามลำพังแบบนี้
“พี่ไปก่อนนะ
ว่างๆจะมาหา” ถ้าพี่ยังคงมีชีวิตรอดถึงตอนนั้น
“รักษาตัวด้วยนะคะ พี่อีกคน..ก็ด้วยนะคะ” ดวงตากลมสดใส แต่แลดูว่างเปล่าจนน่าใจหาย
สิ่งที่โหดร้ายมากกว่านั้นคือหญิงสาวน่ารักตรงนี้...มองไม่เห็นอะไร จุนซูก็เพิ่งรู้เหมือนกัน นั่นก็ทำให้เขาสงสารจียอนมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่า
หลังจากได้เอ่ยคำร่ำลากับน้องสาวของตนเรียบร้อย
คนทั้งสองจึงออกมาตามทางเดินที่ไม่รู้จะเจออะไรข้างหน้าหรือเปล่า แจจุงรู้สึกแปลกใจตัวเองไม่น้อย
ทั้งที่ไม่เคยกลัวอะไร ในตอนนี้เขากลับกลัวทั้งทางข้างหน้า และข้างหลัง แต่ก็ต้องเก็บซ่อนมันไว้ให้ลึกที่สุด
ร่างเล็กที่เดินเคียงข้างกับร่างแกร่งไม่ห่างไปไหน
ได้เหลือบมองดูคนข้างๆที่ในตอนนี้สวมแว่นสีดำของตนไว้ด้วย ส่งผลให้ใบหน้าหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีเลยสักครั้งที่แจจุงจะไม่หันมามองในเวลาที่เขาชอบแอบมอง
ฝ่ามือใหญ่ผลักศีรษะกลมจนร่างเล็กแทบถลาไปข้างหน้ากับแรงผลักแค่นิดเดียวเท่านั้น
“เดินน่ะมองทางด้วยสิ
อย่ามัวแต่มองฉัน”
เขาผลักศีรษะของอีกฝ่ายเพราะความเอ็นดูเท่านั้น ไม่ได้จะแกล้งหรือทำร้ายให้ช้ำอะไร
แต่ดูแล้วเขาคงเผลอมือไปหน่อย ร่างของจุนซูถึงได้เซไปข้างหน้าจนแทบล้ม
“นายมันโหดร้ายไม่เปลี่ยนเลย” ฝ่ามือเล็กยกขึ้นลูบศีรษะป้อยๆ
กระนั้นเขาก็ไม่ได้โกรธคนข้างๆหรอก แต่เขินต่างหากที่ถูกจับได้
ทั้งสองได้เดินมาหยุดอยู่ตรงป้ายรถเมล์
พยายามทำตัวให้เหมือนคนทั่วไปไม่วอกแวกและทำตัวให้ปกติที่สุด เผื่อจะมีใครที่รู้ว่าพวกเขาแหกคุกออกมาและจำหน้าได้ ท่ามกลางหมู่คนวัยทำงานที่ยืนรอรถประจำทางเลยไม่ได้สนนักโทษอย่างแจจุงและจุนซูเลยสักนิด
เพราะทั้งสองนั้นทำตัวกลมกลืนราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสี เลยไม่มีใครสงสัยหรือสังเกตอะไร
แต่หัวใจของจุนซูนี่สิ เต้นไม่เป็นส่ำเลย หวาดกลัวและหวาดระแวงไปหมด
เพราะเขาไม่เคยเลยที่จะต้องมาเจออะไรแบบนี้ แจจุงกระชับฝ่ามือนิ่มไว้แนบแน่น และนั่นก็ทำให้ร่างเล็กรู้สึกอุ่นใจไม่น้อย
ขอแค่มีแจจุงอยู่ข้างๆก็พอแล้ว
เขามักจะพูดกับตัวเองในใจแบบนี้เสมอ
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันเหรอ?” เอ่ยถามขึ้นอย่างกังวล
แม้จะมีฝ่ามือของคนข้างๆจับไว้ตลอดก็ตาม
“ไปเรื่อยๆ
แบบไร้จุดหมาย” เอ่ยตอบไปด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
แจจุงได้พาร่างเล็กก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเมล์เมล์ปรับอากาศซึ่งมีสองที่นั่งว่างอยู่ คนทั้งสองจึงเดินเข้าไปนั่ง แอร์เย็นๆเป่ารดศีรษะจนรู้สึกผ่อนคลาย ด้วยความสบายนั้นทำให้คนตัวเล็กผล็อยหลับไป
ศีรษะกลมค่อยๆเคลื่อนลงซบไหล่กว้างด้วยความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า ฝ่ามือของทั้งสองไม่ได้คลายออกจากกันเลย
ราวกับโดนกุญแจข้อมือล็อกติดกันไว้ใบหน้าหล่อเสหันมามองคนขี้เซาข้างๆ
หากเราได้พบเจอกันด้วยดี ไม่ต้องมาเผชิญกับเรื่องบ้าๆแบบนี้ ในหัวใจก็คงจะสุขได้อย่างเต็มที่
ไม่ต้องกลัวว่าความสุขมันจะหายไป เพราะชีวิตไม่รู้จะได้เจออะไรกับทางข้างหน้าบ้าง เพราะฉะนั้น
ไม่มีความรู้สึกอะไรนั้นเป็นทางออกของหัวใจที่ดีที่สุด
จะมีความรู้สึกทำไม ให้หัวใจเจ็บปวด...
ไม่รู้หรอกว่าจะไปที่ไหน
แต่เมื่อนั่งมาสุดสายแล้วก็คงต้องลง
แจจุงปลุกคนตัวเล็กให้ตื่นขึ้นมา
ก่อนจะพากันเดินลงมาจากรถเมล์ปรับอากาศ
“หิวแล้ว..หาอะไรกินก่อนได้มั้ย? ” ตื่นมาไม่ทันไรก็ถามหาของกินเสียแล้ว จุนซูรู้สึกสงสารท้องไส้ของตัวเองไม่น้อย ทั้งที่ก่อนออกจากคอนโดก็แอบหาอะไรในตู้เย็นทานจนอิ่ม แต่แล้วก็หิวอีก
“รู้สึกช่วงนี้จะหิวบ่อยนะ
ท้องเหรอไง?” แจจุงพูดแบบไม่คิดอะไร แต่จุนซูนี่สิกลับนิ่งคิด
“ไม่รู้สิ
บางทีรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในท้อง เหมือนโดนแย่งของกินในกระเพาะไปหมดเลย อาจจะเป็นอย่างที่นายพูดก็ได้” คนตัวเล็กพูดออกไปอย่างไร้เดียงสา ไม่แน่ตนอาจจะท้องอยูก็ได้
เพราะรู้สึกอึดอัดที่ท้องและบางครั้งก็หน้ามืดอย่างไม่ทราบสาเหตุ และถ้าเขาท้อง
พ่อของเด็กก็ต้องเป็นแจจุงสิ เพราะเขาไม่เคยมีอะไรกับใครเลย คิดได้แบบนั้นก็ทำให้ตัวเองยิ้มไม่หุบ
“หึ..ไร้สาระ...ผู้ชายจะท้องได้ยังไง” ก่อนจะหุบยิ้มลงคล้ายกับฝันสลาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็คงจะมองเป็นเรื่องไร้สาระตลอดเลยสินะ
ก็ใช่น่ะสิ มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงนี่นา แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกน้อยใจด้วย
โชคดีที่ว่า สุดสายของรถเมล์ที่ทั้งสองได้นั่งมานั้นเป็นตลาดเมียงดง
ตลาดที่เปรียบเหมือนสยามสแควร์เกาหลี เป็นทางถนนเข้าไป และแบ่งออกเป็นหลายๆซอยๆ มีทั้งเสื้อผ้าของใช้อะไรสารพัด
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งจำเป็นของคนทั้งสองในตอนนี้เลย
เพราะอีกคนงอแงร้องหาแต่ของกิน แจจุงคงไม่ใจร้ายถึงขนาดให้คนตัวเล็กอดอยากขนาดนั้น
“นั่นไง
เข้าไปซื้อสิ... นี่เงิน” เมื่อเห็นรถเข็นริมทางเป็นร้ายขายต๊อกโบกี
ดูแล้วคงจะพอประทังอีกชีวิตไปได้อีกมื้อ
แจจุงจึงควักเงินให้อีกฝ่ายเท่าที่พอกับค่าของกินแล้วยื่นให้
จุนซูรับมันมาพร้อมทั้งดึงแขนของแจจุงที่ยืนนิ่งอยู่ให้เข้ามายืนหน้าร้านด้วย
“กินด้วยกันสิ
เงินของนายนะ” พูดพลางยืนตักของกินตรงหน้าร้านใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย
ราวกับไม่ได้ทานอะไรมาหลายวัน พร้อมทั้งหันมามองอีกฝ่ายที่ยังคงหันไปทางอื่น
ไม่มีท่าทีว่าจะสนของกินเลย
“ไม่หิว
จะกินก็กินไป” สายตานักล่าภายใต้แว่นสีดำราคาแพงนั้นคอยมองซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวัง
มันไม่น่าจะนิ่งขนาดนี้
เชื่อว่าตำรวจต้องกำลังตามจับกุมเขาและคนข้างๆอย่างแน่นอน ในที่แห่งนี้ก็อาจมี
จะชะล่าใจไม่ได้เลย
“บ้าเอ๊ย!”แจจุงสบถกับตัวเองเบาๆ
เมื่อเหลือบไปเห็นตำรวจสองนายกำลังเดินเข้ามา
แต่ดูท่าแล้วคงจะยังมองไม่เห็นพวกเขา
ถึงอย่างไรก็คงนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้แล้ว
รู้สึกไม่ปลอดภัย
“จะกินพอได้หรือยัง” ร่างสูงก้มลงกระซิบร่างที่เล็กกว่า พร้อมดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะของอีกฝ่ายให้
และออกแรงดึงแขนเล็กกระตุกแรงๆเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดตักอาหารเสียที
หางตายังคงเหลือบมองอันตรายที่ย่างกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในระยะที่ไม่เกินเมตร
“ยังกินไม่เท่าไหร่เองนะ” หันมามองด้วยอาการที่เริ่มไม่พอใจ โดนขัดนิดหน่อยเขาก็ถึงกับอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว
“จ่ายเงินไปซะ
แล้วออกไปจากตรงนี้ให้ไว” บีบแขนเล็กแรงๆจนเกิดห้อเลือดแดงๆเป็นจ้ำๆ
จุนซูนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เขารู้สึกไม่เข้าใจอีกฝ่ายจริงๆ
“แจจุง..” พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมมองของกินตรงหน้าสลับกับมองใบหน้าหล่อ
เขายังคงตัดใจไม่ได้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
“บอกให้รีบๆจ่ายเงินไปซะ!” ปลายเสียงเริ่มตะคอกเบาๆ ทำไมถึงได้เข้าใจอะไรยากเย็นแบบนี้นะ
หากหยิบปืนขึ้นมายิงตำรวจสองนายนั้นได้ก็คงจบ แต่สถานการณ์แบบนี้มันไม่ใช่
เดี๋ยวจะยิ่งวุ่นวายกันเข้าไปใหญ่
จุนซูยอมทำตามอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก
พร้อมทั้งหันตัวไปอีกทางไม่อยากจะยืนและเดินกับคนใจร้ายอีกแล้ว ขัดใจไปเสียหมด หารู้ไม่ว่าทางที่จะเดินตรงไปมันไม่ควร ระยะทางที่เริมสั้นเข้าไปทุกทีระหว่างนักโทษแหกคุกและตำรวจ
แจจุงดึงคนดื้อรั้นให้หันกลับมาด้วยเรี่ยวแรงที่มีมากกว่าหลายเท่า
ใบหน้าหวานกระแทกไปกับแผงอกแกร่งอย่างแรง
และได้ถูกฝ่ามือใหญ่กดท้ายทอยตนจนใบหน้าแทบจะจมหายไปกับแผงอกแข็งแรงนี้อยู่แล้ว
“เพิ่งหลุดจากพวกมันมาได้ คิดอยากจะเข้าไปตายในนรกนั่นอีกหรือไง” ใบหน้าหล่อก้มลงพร้อมกระซิบเสียงแผ่ว
ฝ่ามือค่อยๆคลายออกจากศีรษะกลมเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเฉยไม่ขัดขืนอะไรแล้ว หวังว่าคงจะเข้าใจอะไรดีแล้วด้วย
ร่างแกร่งหันหลังไปอีกทาง พร้อมทั้งเดินไปข้างหน้าโดยดันให้ร่างเล็กเดินนำหน้าไปก่อน
เพราะข้างหลังไม่ปลอดภัย ทางข้างหน้าไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงนัก
“คิม..แจจุง” ร่างสูงหยุดชะงัก
ปลายเท้าอีกข้างที่จะก้าวไปข้างหน้าหยุดแน่นิ่ง หลับตาลงก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ ไอ้ตำรวจโง่ๆพวกนี้ ไม่คิดว่าจะฉลาดเหมือนกันนี่
“อย่าคิดว่าพวกฉันจำนายไม่ได้สิ” ปลายกระบอกปืนจ่ออยู่ที่เอวหนาเพื่อเตือนอีกฝ่ายเป็นเชิงว่าหากขยับตัวไปไหน
ลูกตะกั่วอาจจะทะลุเข้าไปในร่างนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ จุนซูรู้สึกใจคอไม่ดี อยากจะหันหลังกลับไปมอง
หากแต่ใจกลับให้ก้าวเดินไปข้างหน้า อย่าหยุด แค่นั้น...คือสิ่งที่กำลังสั่งตน
แกร๊ก…
กุญแจมือถูกสวมเข้าที่ข้อมือแกร่งทั้งสองข้างอย่างง่ายดาย
ตำรวจหนุ่มรู้สึกย่ามใจที่อีกฝ่ายไม่ขัดขืนอะไร
ทั้งสองเดินควบคุมนักโทษแหกคุกอย่างแจจุงไว้
แต่เมื่อเห็นแจจุงหยุดนิ่งไม่ยอมเดิน แม้ดึงแขนอย่างแรงก็ยังไม่ขยับไปไหน ปืนคงเป็นสิ่งเดียวที่จะขู่นักโทษได้
แต่นั่นไม่ใช่กับแจจุง
ผลั่ก!
ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งเตะเข้าที่ข้อพับของของร่างสูงจนทรุดตัวลงไปนั่ง
เข่าทั้งสองข้างกระแทกไปกับพื้นปูนอย่างแรง
“ถ้าเชื่อฟังกันก็ไม่ต้องเจ็บตัว” จ่อปืนเข้าที่ขมับข้างขวาของแจจุงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน เขาทั้งสองหวังไว้อย่างสูงว่าจะต้องจับนักโทษอย่างคิมแจจุงจุงมาให้ได้เพราะอาจจะส่งผลถึงการเลื่อนยศ
เลื่อนตำแหน่ง และอาจจะได้รับคำชมมากมายจากผู้สั่งการ เพราะการจับกุมคิมแจจุงให้เข้าไปในคุกอีกครั้ง
ถือเป็นการแข่งขันของตำรวจหลายคน
เบื้องหลังของการจับกุมทั้งแจจุง
และจุนซู คิมอึนยองเป็นคนสั่งการทั้งหมด
“จับมันขึ้นมา” ตำรวจหนุ่มอีกคนทำตามอย่างว่าง่าย จัดการดึงชายหนุ่มขึ้นมา
และจับต้นแขนของแจจุงให้เดินตามมาติดๆ ปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่ข้างขมับค่อยๆลดลงช้าๆ แจจุงใช้จังหวะที่อีกฝ่ายชะล่าใจ
แขนที่ถูกสวมด้วยกุญแจมือใช่ว่าจะใช้การอะไรไม่ได้ เขาสะบัดข้อแขนให้หลุดออกจากพันธนาการ
เหวี่ยงข้อศอกกระทุ้งเข้าที่ปลายคางของตำรวจหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างซ้ายอย่างแรง
จนเกือบหงาย
และได้ถีบเข้าที่หน้าท้องของตำรวจที่ยืนอยู่ด้านขวา จนเผลอปล่อยปืนในมือตกลงสู่พื้น ไม่รอช้า แจจุงรีบวิ่งไปข้างหน้าท่ามกลางผู้คนที่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้วิ่งตามคนตัวเล็กไปติด ๆ
เมื่อวิ่งไปถึงในระยะประชิดตัวจึงตะโกนบอกอีกฝ่ายที่กำลังเดินไม่รู้ประสีประสา
“วิ่ง!”
เมื่อข้อมือถูกพันธนาการไว้ไม่สามารถจับข้อมือของอีกฝ่ายให้วิ่งไปกับตนได้
ไหล่แกร่งจึงกระทุ้งเข้าที่ไหล่บาง ทำให้ใบหน้าหวานหันมามองด้วยแววตาตกใจ
เมื่อได้ยินคำสั่งของอีกฝ่าย
ตนจึงหันไปมองข้างหลังที่มีตำรวจสองนายกำลังวิ่งตามแจจุงมา และถ้าเห็นเขา
เขาจะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของตำรวจสองนายนั้นอย่างแน่นอน จากที่เดินเนือยๆอยู่
ตนจึงค่อยๆเร่งฝีเท้าจากเดินให้เร็วกว่าเดิมก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นวิ่งตามหลังร่างแกร่งที่ชะลอฝีเท้าให้ตนได้วิ่งตามไปติดๆ ก่อนที่แจจุงจะหยุดชะงักเพื่อให้จุนซูได้วิ่งนำตนไปและตนจึงออกแรงวิ่งตาม เพราะหากจุนซูได้วิ่งตามหลังคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ
.....................
สวัสดีจ้าา หายไปเดือนนึงได้อ่ะ สำหรับเรื่องนี้ อิอิ
ต่อไปคงหายไปจริงๆน๊า เหตุผลคือ
1.เทอมนี้คงเรียนหนัก แบบแทบไม่ให้หยุดหายใจ ไม่เหมือนเทอมที่แล้วๆ ที่เรียนแบบเรื่อยๆ
2.แรงบันดาลใจสองคิมมันเริ่มหดหายไปแบบใจหายเลยอ่ะ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร T^T
สองเหตุผลก็รู้สึกแย่แล้วง่ะ ขอโทษด้วยนะคะ หากทั้ง 3 เรื่องของเก๊ามันจะไม่จบ T^T
เดี๋ยวถ้าแรงบันดาลใจ หรืออะไรต่างๆเข้าที่แล้ว เก๊าจะหันหลังกลับมาอีกทีน๊าาา
คอนจุนก็ไม่ได้ไปดูเลย มีใครไปดูบ้างคะ ฝากเก็บเหงื่อจุนมาฝากด้วยนะคะ
คอนจุนก็ไม่ได้ไปดูเลย มีใครไปดูบ้างคะ ฝากเก็บเหงื่อจุนมาฝากด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่รอ และเป็นกำลังใจให้แอมมาโดยตลอดนะคะ
ต่อไปนี้อย่ารอแอมเลยน๊า....ไม่รู้จริงๆ ว่าจะสามารถ ปั่นฟิคได้อีกตอนไหน ขอโทษด้วยนะคะ T^T